ไม่พบผลการค้นหา
'ลิเวอร์พูล' คว้า 3 แต้ม นำจ่าฝูงอีกครั้ง เหลืออีก 4 นัด เส้นทางคว้าแชมป์ยังสว่างไสว

ความหวังคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 29 ปี ของลิเวอร์พูล ดูเหมือนจะยังดำเนินไปในทางที่ดีเมื่อการเล่นอันโดดเด่นในครึ่งหลังของเกมที่แข่งกับเชลซีเมื่อช่วงดึกวันที่ 14 เมษายน ส่งผลให้ทีมเก็บ 3 คะแนนสำคัญได้ จากลูกเตะของ ซาดิโอ มาเน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์

ในช่วงครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลได้ประตูออกนำไปก่อนในนาทีที่ 50 หลัง มาเน โหม่งลูกเปิดจาก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เข้าประตูไปในแบบที่ เกปา หมดสิทธิเซฟ และเพียง 2 นาทีหลังจากนั้น ซาลาห์ ก็มาทำประตูชัย ด้วยการเลี้ยงตัดเข้าในและยิงเต็มข้อด้วยขาซ้ายอย่างสวยงาม

ลิเวอร์พูล

ด้านเชลซีที่บุกมาพ่ายลิเวอร์พูล ณ สนามแอนฟิลด์ มีหลายจังหวะให้ได้ลุ้น แต่ก็ยังไม่ผ่าน อลิสซอน เบ็คเกอร์ นายทวารชาวบราซิลไปได้ โดยในนาทีที่ 59 เอเด็น อาซาร์ พลาดโอกาสหลังหลุดเดี่ยวไปดวลกับ อลิสซอน แต่ยิงไปชนเสาอย่างน่าเสียดาย ขณะที่โอกาสอีกครั้งของเชลซีในนาทีที่ 60 ก็ไม่สามารถผ่านมืออลิสซอนไปได้

ฝันร้าย 'แห่งการลื่นล้ม' ของลิเวอร์พูล

ครั้งล่าสุดที่ลิเวอร์พูลอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก คือในฤดูกาล 2014 ซึ่งถูกดับฝันลงด้วยการพ่ายแพ้แก่เชลซี ในเกมนั้น สตีเว่น เจอร์ราร์ด ลื่นล้ม ทำให้ เดมบา บา กองหน้าของเชลซี ในขณะนั้น สามารถทำประตูเอาชนะลิเวอร์พูลไปได้

ในเกมคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แอนดี้ โรเบิร์ตสัน แบ็คซ้ายจองวิ่งของทีม ลื่นล้มช่วงครึ่งหลังในลักษณะคล้ายคลึงกับเจอร์ราร์ด จนทำให้แฟนบอลเกิดอาการวิตกกังวลกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย โดยชัยชนะของลิเวอร์พูลเหนือเชลซีในเกมที่ผ่านมาเป็นการก้าวข้ามอดีตที่ตามหลอกหลอนมาตลอดหลายปี 

ลิเวอร์พูล
“เราได้ฤกษ์ปิดตำราเรื่องการลื่นล้มสักที โรเบิร์ตสันลื่นก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ฉะนั้น มันไม่ใช่ของคู่กับลิเวอร์พูล จบนะ” คล็อปป์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล กล่าว

เส้นทางคว้าแชมป์

ลิเวอร์พูลเหลือการแข่งขันอีก 4 นัด กับทีมหนีตายอย่างคาร์ดิฟฟ์ ฮัดเดอส์ฟีลด์ พร้อมการไปเยือนนิวคาสเซิลยูไนเต็ด และปิดฉากเปิดบ้านต้อนรับวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส 

ขณะที่แมนเชสเตอร์ซิตีซึ่งแข่งน้อยกว่าลิเวอร์พูลหนึ่งนัดและมีคะแนนตามหลังเพียง 2 คะแนน เหลือการแข่งขันอีก 5 นัด ซึ่งดูจะมีความยากลำบากมากกว่าเล็กน้อย โดยในสัปดาห์หน้า แมนซิตี้ ต้องไปเยือน ทอตนัมฮอตสเปอร์ และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

อ้างอิง; CNN, BBC