นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่รีสอร์ทของเขาในปาล์มบีช ฟลอริดา โดยเขาถูกผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นคนเหยียดเชื้อชาติหรือไม่ ซึ่งนายทรัมป์ตอบทันทีว่าเขาไม่ใช่คนเหยียดเชื้อชาติ และยังยืนยันว่าตนเองเป็นคนที่เหยียดเชื้อชาติน้อยที่สุดเท่าที่ผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวเคยสัมภาษณ์มา
ประเด็นดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการที่ส.ว.ที่ไม่เปิดเผยชื่อ ให้ข้อมูลกับสื่อสหรัฐฯว่าในระหว่างการประชุมเรื่องนโยบายผู้อพยพ นายทรัมป์แสดงความไม่พอใจที่มีผู้อพยพชาวแอฟริกันจำนวนมากเข้ามาในประเทศ โดยเรียกคนเหล่านั้นว่าพวกที่มาจาก "shitholes" หรือ "สถานที่โสโครก" และยังแสดงความเห็นอีกด้วยว่าเขาอยากให้สหรัฐฯรับคนจากประเทศอย่างนอร์เวย์เข้ามามากกว่า หรือไม่ก็คนเอเชีย เพราะสามารถทำประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจอเมริกันมากกว่า ซึ่งกรณีดังกล่าวทำให้สหภาพแอฟริกาออกมาเรียกร้องให้นายทรัมป์ขอโทษ และสร้างกระแสวิจารณ์อย่างรุนแรงไปทั่วโลกว่าผู้นำสหรัฐฯมีทัศนคติเหยียดเชื้อชาติ
นายทรัมป์ถูกวิจารณ์เกี่ยวกับการมีพฤติกรรม ทัศนคติ และคำพูดเหยียดผิว เพศ เชื้อชาติ และศาสนาบ่อยครั้ง ตั้งแต่ในช่วงของการหาเสียงเลือกตั้ง และการออกคำสั่งแบนผู้อพยพจากประเทศมุสลิม 6 ประเทศ ก็ยิ่งตอกย้ำการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและศาสนา จนกระทั่งเกิดการฟ้องร้องและนายทรัมป์ต้องปรับเปลี่ยนกฎเป็นการแบนคนจากประเทศที่ไม่ใช่มุสลิมด้วย ได้แก่เวเนซุเอลาและเกาหลีเหนือ
นอกจากการให้สัมภาษณ์เรื่องการเหยียดผิว นายทรัมป์ยังถูกผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการชัทดาวน์รัฐบาล ว่าจะเกิดขึ้นอีกครั้งในปีนี้หรือไม่ ซึ่งนายทรัมป์ยอมรับว่าเขาไม่รู้ว่าจะมีการชัทดาวน์หรือไม่ แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
เหล่าดรีมเมอร์ส หรือผู้อพยพที่เข้าสหรัฐฯอย่างผิดกฎหมายพร้อมกับพ่อแม่ในวัยเยาว์ ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 800,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวลาตินอเมริกัน คนกลุ่มนี้เป็นกำลังสำคัญในเศรษฐกิจสหรัฐฯ กฎหมาย DACA หรือ Deferred Action for Childhood Arrivals ออกมาในยุคของนายบารัก โอบามา เมื่อปี 2012 ทำให้คนกลุ่มนี้สามารถอยู่ในประเทศต่อได้ และได้ใบอนุญาตทำงานอย่างถูกกฎหมาย หากไปขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง แต่รัฐบาลนายทรัมป์ยกเลิกกฎหมายนี้ไปเมื่อเดือนกันยายน 2017
ขณะนี้สมาชิกสภาคองเกรสจากพรรคเดโมแครตกำลังเจรจาต่อรองกับทำเนียบขาวเรื่องนโยบายผู้อพยพวัยเยาว์ หรือ DACA ซึ่งเดโมแครตต้องการให้คงอยู่ต่อไป แม้นายทรัมป์ได้ประกาศจะยกเลิกโครงการนี้ โดยนโยบาย DACA หรือการอนุญาตให้ผู้อพยพที่เข้ามาในสหรัฐฯอย่างผิดกฎหมายตั้งแต่ยังเด็ก สามารถอยู่ในประเทศได้ต่อไป เป็นข้อต่อรองสำคัญที่จะทำให้การผ่านร่างงบประมาณที่มีเส้นตายต้องผ่านการเห็นชอบจากคองเกรสในวันที่ 19 มกราคมที่จะถึงนี้ ทำได้สำเร็จ แต่หากไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณได้ตามกำหนด สหรัฐฯจะต้องเผชิญกับการ "ชัทดาวน์" หรือภาวะที่หน่วยงานรัฐหยุดชะงักทั่วประเทศ เนื่องจากไม่มีงบประมาณในการใช้จ่าย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุคของนายบารัก โอบามา เมื่อปี 2013 ที่ขณะนั้นสมาชิกสภาคองเกรสส่วนใหญ่เป็นพรรครีพับลิกัน แต่นายโอบามามาจากพรรคเดโมแครต
อย่างไรก็ตาม นายทรัมป์ปกครองประเทศในยุคที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้งในสภาสูง สภาล่าง และประธานาธิบดีก็มาจากพรรครีพับลิกัน แต่กลับเผชิญปัญหาเดียวกับนายโอบามา เนื่องจากสมาชิกบางส่วนในพรรครีพับลิกันไม่พอใจนโยบายของนายทรัมป์ เช่นการเพิ่มงบให้กระทรวงกลาโหมถึง 50,000 ล้านดอลลาร์ โดยตัดงบสวัสดิการที่ให้กับคนในประเทศ รวมถึงการยืนกรานว่าจะต้องมีการใช้งบประมาณเพื่อสร้างกำแพงกั้นพรมแดนเม็กซิโก-สหรัฐฯ ตามที่เขาเคยหาเสียงไว้ ทำให้ทำเนียบขาวต้องหันไปพึ่งพาเสียงสนับสนุนบางส่วนจากเดโมแครต
ส่วนประเด็นเกาหลีเหนือ ผู้สื่อข่าวสอบถามนายทรัมป์ว่าเขาได้พูดคุยกับนายคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือบ้างหรือไม่ ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลีกำลังพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังการเจรจาเมื่อวันที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา แต่นายทรัมป์หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามนี้ โดยพูดเพียงว่าจากนี้ไปต้องจับตาดูการเจรจาครั้งต่อไประหว่างเกาหลีเหลือและใต้ โดยพูดเพียงว่าจากนี้ไปต้องจับตาดูการเจรจาครั้งต่อไประหว่างเกาหลีเหลือและใต้ โดยเขาหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่น
เรียบเรียง: พรรณิการ์ วานิช