ในแง่นึงลักษณะแบบนี้มันก็ทำให้ประเทศเรารอดพ้นจากภัยพิบัติอันเกิดจากความขัดแย้งร้ายแรงในโลกรอบข้างเราหลายๆ ครั้ง ตั้งแต่ยุคอาณานิคมเราก็ไม่โดนยึดเป็นเมืองขึ้น สงครามโลกครั้งที่ 1 เราก็แทบไม่ได้ไปรบกับเขาเลยแต่ได้กองทัพฝรั่งเศสมาเทรนนักบินให้เราฟรีๆได้ยึดเรือและสินทรัพย์ของเยอรมันในไทย แถมยังได้เป็นประเทศผู้ชนะสงครามเอาสถานะมาต่อรองแก้ไขสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมต่อมาได้อีกต่างหาก
สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เข้าข้างญี่ปุ่นระหว่างสงครามก็ไม่ต้องถูกญี่ปุ่นทำลายยับเยินเหมือนประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ในภูมิภาค แล้วพอญี่ปุ่นแพ้สงครามก็แถไปอยู่ข้างสัมพันธมิตรก็ได้ชนะสงครามกับเขาอีก
ตลอดยุคสงครามเย็นก็เข้าข้างสหรัฐอเมริกา ก็ได้เงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา ได้เงินสนับสนุนด้านความมั่นคง แถมยังได้จีไออเมริกันจากเวียดนามมาช่วยนำอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการของเราไปสู่เวทีโลกอีกต่างหาก
เห็นมั้ยประเทศเพื่อนบ้านเขารบกันจะเป็นจะตาย สหรัฐอเมริกาก็เสียทั้งงบประมาณทั้งกำลังคนทั้งความชอบธรรมไปกับสงครามเวียดนามมากมายจนยังเป็นบาดแผลในความทรงจำเขามาจนถึงทุกวันนี้ แต่พี่ไทยกลับมีความเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งภาคการผลิตและส่งออกอย่างเป็นชิ้นเป็นอันมาจากยุคสมัยของความมหาวิปโยคของเพื่อนบ้าน... ทั้งหมดนี้เพราะความ “ย้วย” อันเป็นเอกลักษณ์ของชาติที่แตกต่างจากเพื่อนบ้านอาเซียนอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ
แต่ความ “ย้วย” นี้ก็ทำให้เราไปไหนไกลไม่ได้สักทีเหมือนกัน ไอ้กับดักรายได้ปานกลางที่ใครๆ ชอบบ่นถึงอยู่น่ะ กับ economic miracle แบบที่เพื่อนบ้านในภูมิภาคของเราหลายประเทศเขาประสบกันมาแล้ว ทั้งญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลี จีน สิงคโปร์ น่ะเรายังไปไม่ถึงสักทีก็เพราะความย้วยนี่แหละ
ปัญหาใหญ่มากที่สุดของเราอย่างนึงคือเรามีแนวโน้มจะเห็นดีเห็นงามกับทุกคนที่เหมือนจะมาเข้าข้างเราหมด ไม่ว่าการเข้าข้างนั้นมันจะถูกต้องหรือไม่ก็ตาม กล่าวคือ คนที่มาเข้าข้างเราอาจจะเป็นคนไม่ดี อาจจะมีประวัติที่ไม่ใสสะอาดไม่ซื่อตรงหรือเคยเป็นอาชญากรสงครามมาก่อน หรือไม่อีกที เรื่องที่เขามาเข้าข้างเราอาจจะเป็นเรื่องที่จริงๆ แล้วเราทำผิด เพื่อนที่ดีควรจะเตือนกันไม่ใช่อวยหรือยุส่งกันไป แต่ตามประสาความย้วยของเราเราก็จะไม่ค่อยสนใจอะไรอย่างงี้เท่าไหร่ ถ้าเขาเข้าข้างเราแล้วเราก็ว่าเขาดี และยิ่งถ้าเขาเป็นมหาอำนาจและการที่เขามาเข้าข้างเราจะทำให้เราได้อย่างใจทุกอย่างไม่ว่าจะผิดหรือถูกก็ตามเราก็ยิ่งมีแนวโน้มจะอวยเขาไปแบบไร้สติหนักเข้าไปอีก และตรงนี้แหละที่มันก็มักจะกลับมาแว้งกัดมาทำให้เราเจ็บปวดได้ในภายหลังเสมอ เพราะในโลกความเป็นจริงมันไม่มีคนอื่นที่ไหนหรอกที่จะมาทำดีกับเราโดยไม่หวังผลตอบแทน หรือมาลงทุนโดยไม่หวังผลกำไร ที่พูดถึงนี่คือเวทีเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศนะคะ ไม่ใช่สหพันธ์นักบุญของศาสนจักรคาธอลิค!
“แจ๊ค หม่าเขารวยแล้ว เขาจะมาช่วยเรา” พูดออกมาได้ยังไงคะทั่นผู้ชม? วาทกรรมอันนี้มันแทบไม่ต่างอะไรกับที่สมัยก่อนเคยได้ยินคนพูดทำนองว่า “นักการเมืองคนนี้เขารวยแล้ว เขาไม่โกงหรอก” หรือ “นายตำรวจคนนี้เขารวยมากแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องโกงอีกหรอก” คือ... เอาอะไรคิดคะ ก้านสมอง? กะโหลก? หรือหัวแม่เท้า?
มันมีวาทกรรมอันนึงนะ ที่หลังๆ ได้ยินหนาหูขึ้นเรื่อยๆ เรื่องจีนเนี่ย (เออ... ในที่สุดก็มาถึงเรื่องจีน นี่คอลัมน์ “โต๊ะจีน” นี่หว่า!) ที่บอกว่าจีนเป็นมหามิตรของไทย จีนกับไทยเป็นพี่น้องกันมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด จีนไม่เคยรุกรานไทย ไม่เคยมาล่าอาณานิคมแถวบ้านเรา ไม่มีบาดแผลทางประวัติศาสตร์เหมือนอย่างพวกประเทศตะวันตกทั้งหลาย ดังนั้นเราคบกับจีนไว้น่าจะดีกว่า
จีนจะเสนออะไรก็คือเขาจะมาช่วยเรา เราก็ควรจะรับไว้ เพราะเขาไม่เคยทำร้ายเรา เราไม่เคยเป็นศัตรูกัน ดังนั้นควรไว้ใจกันได้ อันนี้ภาษาฝรั่งเขาจะเรียก bullshit ค่ะ ภาษาไทยเรียกว่า “พูดไปเรื่อย” ข้อมูลก็ผิด ตรรกก็วิบัติ และจบสุดท้ายข้อสรุปก็พังสนิท ควายล้วนไม่มีวัวปนค่ะทั่นผู้ชม
1. จีนเป็นมหามิตร ไทยกับจีนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด จีนไม่เคยทำร้ายเรา? คืออะไรคะ?
เรารู้รึเปล่าว่า “จีน” ที่เราพูดถึงน่ะคือจีนไหน และจริงๆ แล้วมันมีกี่จีนบ้าง ก่อนที่เราจะมาสรุปว่าจีนไม่เคยทำร้ายเราและเราเป็นมิตรที่ดีต่อกันมาโดยตลอด?
จีนที่เราจิ้มก้องไปยุคที่เกิดเป็นตำนานเจ้าสายน้ำผึ้งกับพระนางสร้อยดอกหมากแถววัดพนัญเชิงน่ะ มันคนละจีนกับจีนของแจ๊ค หม่านะคะคุณ จีนยุคที่อากงอาม่าเรานั่งเรือกลไฟจากซัวเถามาขึ้นที่ท่าล้ง 1919 ก็อีกจีนหนึ่งค่ะ หนักกว่านั้นอีกคือจีนที่มาช่วยสันติบาลเรารบกับคอมมิวนิสต์ยุคสงครามเย็น จีนที่ปู่ย่าตายายเราชอบส่งลูกไปเรียนช่วงทศวรรษ 1960s - 1970s แบบที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุลไปน่ะ ก็อีกจีนนึงนะคะ จีนของเติ้งเสี่ยวผิงที่มาเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เมื่อปี 1978 นั้นก็อีกจีนหนึ่งโดยสิ้นเชิงค่ะทั่นผู้ชม
ในช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ “จีน” เปลี่ยนประเทศหลายครั้งมากและยังแบ่งแยกแตกกอเป็นอีกหลายจีนด้วยอีกต่างหาก ปี 1911 ปฏิวัติล้มราชวงศ์ชิงและสถาปนาสาธารณรัฐจีนในปีรุ่งขึ้น ปี 1949 พรรคคอมมิวนิสต์มีชัยชนะในแผ่นดินใหญ่และสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นมา แต่ฝ่ายสาธารณรัฐจีนก็ยังอยู่ แค่ย้ายไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ไต้หวันมาจนถึงทุกวันนี้ แล้วก็ยังมีจีนฮ่องกงที่เป็นอาณานิคมอังกฤษตั้งแต่หลังสงครามฝิ่น (กลางศตวรรษที่ 19) จนเพิ่งส่งมอบให้สาธารณรัฐประชาชนจีนไปเมื่อปี 1997 นี้เอง แต่ละจีนต่างยุคต่างสมัยต่างดินแดนและต่างผู้ปกครองเหล่านี้ก็ล้วนมีนโยบายต่อสยามประเทศที่แตกต่างกันด้วย ดังนั้น... เวลาใครพูดว่า จีนกับไทยไม่เคยมีความบาดหมางกัน เป็นมิตรที่ดีต่อกันมาโดยตลอดนั้น... เขาหมายถึงจีนไหนกันแน่คะ?
2. อ่านมาถึงตรงนี้บางคนอาจจะบอกว่า... โอยยยยยย... ไม่เห็นจะต้องทำให้เป็นเรื่องเยอะ ก็หมายถึงจีนที่จะมาทำรถไฟความเร็วปานกลางให้เรา จีนที่ขายเรือดำน้ำให้เรา กับจีนของแจ๊ค หม่า... มันก็จีนเดียวกันอยู่ไม่ใช่เหรอ? จีนที่เป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่กำลังผงาดขึ้นเป็นอภิมหาอำนาจใหม่ของโลกศตวรรษที่ 21 เนี่ย จีนนี้ไง เป็นมิตรกับเรามาโดยตลอด...
ถ้าจะสรุปอย่างนี้ก็ต้องนับว่าเป็นพวกสมาธิสั้นอย่างแท้ทรูอ่ะค่ะ ทั่นผู้ชมคะ เคยคุ้นๆ เคยได้ยินคำว่า “สงครามเย็น” มั้ยคะ? สาธารณรัฐประชาชนจีนมันปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนนะคะ ยุคสงครามเย็นน่ะประเทศเราอยู่ฝั่งอเมริกานะคะ อเมริกาเขารบกับคอมมิวนิสต์อยู่นะคะ จำได้มั้ย?
ช่วง 20 ปีแรกของสงครามเย็นประมาณทศวรรษ 1950s-1960s เนี่ยประเทศเราก็กลัวคอมมิวนิสต์จีนกันมากเลยค่ะ ถึงขั้นส่งกำลังทหารไปช่วยกองกำลังของสหประชาชาติที่นำโดยสหรัฐอเมริการบในสงครามเกาหลีด้วยนะคะ ที่ส่งไปนี้ไม่ใช่ว่าเราจะสนิทสนมกับเกาหลีใต้มาแต่หนไหนหรอกนะคะ เราส่งไปเพราะสาธารณรัฐประชาชนจีนหรือที่ชอบเรียกกันว่า “จีนแดง” น่ะมาช่วยเกาหลีเหนือรบ แล้วเราก็กลัวว่าถ้าจีนแดงยึดคาบสมุทรเกาหลีได้แล้ว ต่อไปจะกำเริบเสิบสานย้ายมาคุกคามแหลมทองของเราบ้าง รัฐบาลทหารของเราแต่ยุคโน้นก็เลยต้องรีบส่งกำลังไปช่วยสหรัฐอเมริการบในคาบสมุทรเกาหลี
ไปลองหาอ่านรายงานจากกงสุลไทยที่ฮ่องกงยุคสิบกว่าปีแรกของสงครามเย็นดูนะคะ มีความกลัวจีนแดงหนักมากค่า กลัวมันข้ามมายึดฮ่องกง กลัวมันแทรกซึมมาสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในประเทศเพื่อนบ้าน กลัวมันลามมายึดประเทศเราเป็นคอมมิวนิสต์บ้าง สารพัดจะนอยด์ค่ะ
และรัฐบาลไทยก็มีนโยบายยอมรับสาธารณรัฐจีนที่ไต้หวันเป็นจีนที่ถูกต้องหนึ่งเดียวตามสหรัฐอเมริกามาโดยตลอด จนกระทั่งอเมริกาเปลี่ยนใจแล้วประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันไปจับมือกับ เหมา เจ๋อตง เมื่อปี 1972 นั่นแหละ พี่ไทยถึงได้รีบเปลี่ยนตาม ฯพณฯ ท่านนายกฯ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็วิ่งไปจับมือกับประธานเหมาบ้างในปี 1975 แล้วก็ถึงได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนแดงอย่างเป็นทางการในปีเดียวกันนั้นเอง
สรุปว่า... เมื่อก่อนรบกันหนักมากค่ะ ไทยกับจีนแดงเนี่ย อ้าว... แล้วตกลงว่าไงล่ะทีนี้? เชื่อเขาได้มั้ย? เขาจะมาช่วยเราจริงมั้ย? แล้วยังไง? ทำไมเราเคยอยู่ข้างอเมริกาแล้วอเมริกาเคยทะเลาะกับจีน แล้วทำไมกลายเป็นว่าเรามาดีกับจีนแดงตามอเมริกา? แล้วตอนนี้จีนกับอเมริกาเหมือนจะมาตีกันใหม่แล้ว? เขาเลิกดีกันช่วงไหนอ่ะ? ทำไมเราตามไม่ทัน? แล้วเรากับอเมริกาเป็นยังไงอ่ะช่วงนี้? เห็นโฆษณาบนรถไฟฟ้าบอกกำลังจะฉลองกี่ร้อยปีความสัมพันธ์กันอยู่ไม่ใช่เหรอ? งงไปหมดแล้ว
สรุปว่า แจ๊ค หม่า นี่เชื่อได้มั้ย? ทุเรียนจะขายได้จริงรึเปล่า? ดราม่ามันซับซ้อนหนักมากค่ะทั่นผู้ชม อยากรู้ต้องติดตามตอนต่อไปค่ะ ปักษ์หน้ามาเปียแชร์กินโต๊ะจีนกันใหม่นะคะ แล้วจะคุยให้ฟังอีกยาวๆ