วันนี้ (6 สิงหาคม 2568) พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในการประชุมวิชาการสารเสพติดนานาชาติ ปี พ.ศ. 2568 : ยาบ้า เมทแอมเฟตามีน และสารเสพติดสังเคราะห์ 'จากบทเรียนแห่งอดีต สู่การทบทวนเชิงระบบ เพื่ออนาคตที่ดีกว่าในนโยบายยาเสพติดไทย'
รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มากล่าวปาฐกถาพิเศษในวันนี้ ท่ามกลางเวทีสำคัญระดับโลกอย่าง “2025 International Conference on Drug Policy: Yaba, Methamphetamine, and Synthetic Drugs” ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ร่วมกันทบทวนและสร้างอนาคตของนโยบายยาเสพติด ด้วยความกล้าหาญและข้อมูลเชิงประจักษ์
ภัยจากยาเสพติด
ปัญหายาเสพติดเป็นภัยสำคัญแก่มวลมนุษยชาติ บ่อนทำลายความมั่นคง ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศชาติ ทำลายสุขภาพอนามัย และจิตใจของผู้เสพและของผู้ติดยาเสพติด อีกทั้ง บ่อนทำลายความสงบสุข และฐานะทางเศรษฐกิจ และสังคมของครอบครัว ญาติมิตร และชุมชน ของผู้หลงผิด สร้างภาระใหญ่หลวงแก่ ชุมชน สังคม ประเทศชาติและระบบราชการ ผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญไร้ซึ่งความเมตตาปรานีแก่เพื่อนมนุษย์ โดยรู้ทั้งรู้ว่าพวกเขากำลังหยิบยื่นความหายนะ และความพิกลพิการ หรือความตายแก่ผู้เสพ หรือผู้ติดยาเสพติด แต่พวกผู้ค้ายาเสพติดก็ทำลงได้ นอกจากนี้ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความมั่นคงปลอดภัยของกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด พวกเขามักจะรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นองค์กรเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ สร้างระบบวิธีการและวัฒนธรรมกลุ่มหรือองค์กรในการเก็บรักษาความลับและความปลอดภัยมีการจัดตั้งที่ปรึกษากฎหมาย และที่ปรึกษาอื่นๆ เพื่อขยายเครือข่ายและกิจกรรมของพวกตน สนับสนุนหรือร่วมปฏิบัติให้เกิดการฉ้อราษฎรบังหลวงในระบบราชการ (Corruption) สร้างเครือข่าย หรือ “ไม้ค้ำ” ไว้ในระบบราชการระบบยุติธรรม และการเมือง เพื่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติ การดำเนินการแก้ไขปัญหานักค้ายาเสพติดรายสำคัญ จึงถือเป็นวาระแห่งชาติของทุกประเทศที่ต้องกระทำอย่างจริงจังต่อเนื่องโดยหวังผล เพื่อยุติบทบาทของผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญ มิให้ไปทำร้ายแก่มวลมนุษยชาติต่อไป
ยาบ้า: ความท้าทายระดับโลกที่ประเทศไทยต้องเผชิญ
ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน ตามประมวลกฎหมายยาเสพติดประเทศไทยจัดเป็นยาเสพติดประเภท 1 เป็นสารเสพติด การติดยาบ้า ถือเป็นโรคเรื้อรังที่มีความซับซ้อนทางสมอง ปัญหาการเสพติดยาบ้าในประเทศไทยถือเป็นปัญหาที่มีความจำเพาะและแตกต่างจากยาเสพติดชนิดอื่น เนื่องจากมีฤทธิ์เสพติดสูง ราคาถูก เข้าถึงได้ง่าย และเกิดความเสี่ยงต่อการมีอาการทางจิต โดยจากระบบข้อมูลการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดของประเทศ (บสต.) พบว่าในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีจำนวนผู้ใช้ยาบ้า 160,637 คน มีโรคร่วมทางจิต 15,917 คน (ร้อยละ 10) โดยผู้เสพส่วนใหญ่เป็นนักเรียนและกลุ่มใช้แรงงาน
ปัจจุบันปัญหายาบ้าไม่ได้เป็นเพียงความท้าทายระดับชาติ แต่เป็นภัยคุกคามระดับโลก จากรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) เมื่อปี ค.ศ. 2024 ชี้ชัดว่าปริมาณเมทแอมเฟตามีนที่ถูกจับกุมในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีปริมาณสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 236 ตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 24 จากปี ค.ศ. 2023 และทั่วโลก มีผู้ใช้สารเสพติดประเภทแอมเฟตามีนและเมทแอมเฟตามีนสูงถึง 30.7ล้านคนในปี ค.ศ. 2023 นั่นหมายความว่า นอกจากประเทศไทยแล้ว ยังมีประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดนี้
ประเทศไทยจากการรวบข้อเท็จจริงและข้อมูลด้านการตรวจพิสูจน์ ยาบ้ายังคงมีแหล่งผลิตหลักอนุภูมิภาคแม่น้ำโขงที่เรีนกว่าสามเหลี่ยมทองคำ ปัจจุบันพบมีการนำไอซ์ มาเป็นหัวเชื้อในการผลิตยาบ้า ทำให้ผลิตได้ง่ายยิ่งขึ้น ส่งผลให้มีการนำเข้ามาในประเทศไทยเป็นปริมาณมากขึ้นหลายเท่าตัว ห่อบรรจุภายนอก จะใช้กระดาษสาเคลือบเทียนไขสีเหลืองเป็นวัสดุห่อหุ้ม เพื่อป้องกันความชื้นได้ในระดับหนึ่ง จากนั้น ประทับตราสัญลักษณ์ 999 หรือ Y1 ซึ่งถือเป็นตราสัญลักษณ์หลักๆในปัจจุบันลงบนห่อ เพื่อแยกกลุ่มในการนำส่งลูกค้า ตราสัญลักษณ์ 999 จะบรรจุแพ็คละ 10,000 เม็ด แบบตราสัญลักษณ์ Y1 จะบรรจุ แพ็คละ 6,000 เม็ด ด้านในจะแยกเป็นมัดละ 2,000เม็ดเป็นมาตรฐาน บรรจุในถุงสีฟ้า ถุงละ 200 เม็ด เป็นมาตรฐาน บนเม็ดยาบ้าจะประทับตัวอักษร WY เป็นหลักเหมือนกันเกือบทุกกลุ่มผู้ผลิต จะมีการประทับตราอย่างอื่นเพียงเล็กน้อย ทิศทางหลักในการลักลอบนำยาบ้าเข้าประเทศไทย มีอยู่ 3 ด้าน ได้แก่ ภาคเหนือ จะเป็นแบบประทับตรา 999 เป็นหลัก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะเป็นแบบประทับตรา Y1 เป็นหลัก และภาคตะวันตก จะเป็นการเขียนตราสัญลักษณ์บนหีบห่อ รูป A ด้วยลายมือ กรณีเป็นตราสัญลักษณ์ Y1 จะส่งต่อไปยังพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ตลอดจนชายแดนไทย-มาเลเซีย เป็นต้น
ประเทศไทย: จากพื้นที่ปลายทาง สู่พื้นที่ทางผ่านที่แบกรับภาระ
ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวย และโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงในภูมิภาค ประเทศไทยได้กลายเป็น “พื้นที่ทางผ่าน” ที่สำคัญ สำหรับการลำเลียงยาเสพติด โดยเฉพาะเมทแอมเฟตามีนจากแหล่งผลิตในลุ่มแม่น้ำโขง สู่ประเทศปลายทางในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก นี่คือสถานการณ์ที่ทำให้เราต้องร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างแน่นแฟ้น เพื่อแก้ไขปัญหานี้ไปด้วยกัน ความท้าทายที่มีความซับซ้อน ทำให้ประเทศไทยต้องนำเงินภาษีอากรที่เก็บจากประชาชนใช้เป็นงบประมาณเพื่อแก้ปัญหายาเสพติดภายในประเทศและเพื่อเพิ่มความสามารถในการป้องกันและสกัดกั้นยาเสพติดและสารตั้งต้นจากภายนอกประเทศ ทั้งจากที่มีเขตแดนติดกัน และการใช้การขนส่งจากภูมิภาคอื่นผ่านประเทศไทยไปยังประเทศข้างเคียง ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2558–2568) ประเทศไทยได้ใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในภารกิจการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด รวมถึงกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่การบังคับใช้กฎหมาย สอบสวน ฟ้อง พิพากษา ลงโทษ และการบำบัด รักษา ฟื้นฟูผู้ติดยา โดยมีหน่วยงานรัฐเกี่ยวข้องมากกว่า 11 แห่งที่ต้องบูรณาการดำเนินงานร่วมกัน โดยมีวงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 2.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 240,000 ล้านบาทต่อปี ในจำนวนนี้ต้องไปใช้ในภารกิจแก้ปัญหายาเสพติด อาชญากรรมที่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องยาเสพติด และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับสวนทางกับเป้าหมายที่จะลดจำนวนผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด กล่าวคือ จำนวนผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งในสถานะผู้เสพ ผู้ค้า และผู้ต้องขังยังคงเพิ่มสูงขึ้น และกระจายครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ จึงทำให้เราต้องทบทวนว่า ทิศทางนโยบายที่เน้นการปราบปรามได้ผลจริงหรือไม่ นอกจากต้นทุนงบประมาณจำนวนมากแล้วการสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ในช่วงเยาวขนและวัยแรงงานที่สำคัญ ผลิตภาพของแรงงานจากการถูกคุมขัง ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และภาระในระบบสาธารณสุข งานศึกษาชิ้นนี้ยังได้เน้นย้ำไว้อย่างชัดเจนว่า การเน้นเฉพาะมาตรการปราบปราม โดยปราศจากการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ย่อมไม่สามารถลดปัญหายาเสพติดได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ตรงกันข้าม มันกลับเป็นการผลักภาระให้กับระบบยุติธรรมและสังคมของเราอย่างมหาศาลถึงเวลาแล้วที่เราต้อง กล้ายืนหยัด กล้าถามคำถามใหญ่กับนโยบายเดิม และใช้ข้อมูลหลักฐาน เชิงประจักษ์เป็นเข็มทิศนำทาง เพื่อแสวงหาหนทางที่ดีกว่า
ผู้ใช้ยา = ผู้ต้องขัง? การทบทวนระบบกฎหมายที่จำเป็น
ในปัจจุบัน ผู้ต้องขังในเรือนจำไทยมากกว่าร้อยละ 70 มีความเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมีการศึกษาต่ำกว่าการศึกษาขั้นพื้นฐานที่รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณให้ประชาชนทุกคนได้ศึกษาแบบฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย
ผู้ครอบครองเพื่อเสพในปริมาณน้อย แต่กลับถูกตีตราว่าเป็นผู้ค้ายาโดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ต้องขัง เหล่านี้ขาดโอกาสเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูอย่างเหมาะสม ปัญหาที่สำคัญประการหนึ่งที่เรากำลังเผชิญ คือ ผู้ที่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดเกือบทั้งหมดที่ออกมาจากเรือนจำแล้วกลับไม่สามารถกลับคืนสู่สังคมได้ แม้ว่าส่วนใหญ่ของคนกลุ่มนี้กับอคติและความหวาดกลัวของสังคมจากภาพจำที่ถูกสร้างขึ้นผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ มาอย่างยาวนาน ทำให้คนกลุ่มนี้ ยากที่จะได้รับการจ้างงาน ไม่ว่าจากหน่วยงานภาครัฐหรือภาคเอกชน และกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้กลุ่มขบวนการยาเสพติดอาศัยเป็นช่องทางในการชักจูงคนกลุ่มนี้กลับไปสู่วงจรยาเสพติดได้ง่าย
นอกจากนี้ ผู้ต้องขังที่พ้นโทษคดียาเสพติดหลังออกจากเรือนจำ ไม่สามารถกลับคืนสู่สังคมได้อย่างภาคภูมิ แม้ว่าส่วนใหญ่จะมีความพยายามอย่างมาก เพื่อกลับไปใช้ชีวิตด้วยการประกอบอาชีพสุจริต แต่กลับถูกอคติและการตีตราจากสังคม เนื่องจากมีภาพจำทางลบที่ถูกสร้างขึ้นมาผ่านสื่อต่าง ๆ มาอย่างยาวนาน พวกเขาเหล่านี้ จึงขาดโอกาสในการพิสูจน์ตัวตนเพื่อประกอบสัมมาอาชีพ หาเลี้ยงตนและครอบครัว กลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ต้องจำทนกลับเข้าสู่วงจรยาเสพติดซ้ำแล้วซ้ำเล่านี่ คือ ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตผู้คนนับแสน และยังสร้างภาระอันหนักอึ้งต่อระบบยุติธรรมของเรา โดยรัฐต้องใช้จ่ายประมาณ 73,000-110,000 บาทต่อคนต่อปี ในการดูแลนักโทษ 1 คนในเรือนจำ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายในการบำบัดฟื้นฟูแล้ว ถือเป็นต้นทุนที่สูงอย่างยิ่ง
ข้อโต้แย้ง: "การปราบปรามคือทางออก" และหลักฐานที่ท้าทาย
มาตรการปราบปรามและกระบวนการยุติธรรม แบ่งเป็น 3 กลุ่ม
1. กลุ่มผู้เสพ/ผู้ติด
1) ผู้เสพคนนั้นแสดงความสมัครใจเข้ารับการบำบัดรักษา เพื่อเข้ารับการบำบัดรักษา เมื่อบำบัดรักษาและปฏิบัติครบถ้วนจนได้รับหนังสือการรับรองว่าเป็นผู้ผ่านการบำบัดรักษา ถือว่าผู้นั้นพ้นจากความผิด
2) ผู้เสพไม่สมัครใจเข้ารับการบำบัดหรือมีลักษณะต้องห้าม เป็นผู้ต้องหา ถูกดำเนินคดีอยู่ระหว่างรับโทษจำคุก(ส่วนใหญ่ศาลรอลงอาญา)
2. กลุ่มผู้ค้า (รายย่อย ผู้ขนส่งและลำเลียง)
3. กลุ่มองค์กรอาชญากรรมที่ผลิต จำหน่าย ข้ามประเทศ
สถิติการจับกุมแยกตามข้อหา พบว่าส่วนใหญ่จับกุมผู้เสพและค้า และจับกุมผู้ผลิต ผู้บงการค้าองค์การเครือข่ายระดับสูง น้อยมาก จำนวนคดีและผู้ต้องหาเปรียบเทียบข้อหาเสพและภาพรวมของคดียาเสพติด 5 ปีย้อนหลัง จำนวน คดีรวม เฉลี่ยปีละ 279,640 คน ผู้เสพและใช้รายย่อย เฉลี่ยปีละ 227,207 คน หรือจำนวน คดีเสพ คิดเป็น 4 ใน 5 ของ คดีรวม คดียาเสพติดรายสำคัญ เช่น คดียาบ้า 10,000 เม็ด ถึง 100,000 เม็ด จะจับได้เฉพาะกลุ่มลำเลียงนำยาเสพติดไปส่งให้กับลูกค้า หรือนำยาเสพติดไปทิ้งไว้ตามจุดต่างๆ ส่วนใหญ่ไม่สามารถขยายผลไปยังผู้สั่งการที่ระบุให้ชัดเจนลงไปได้ว่า ใครเป็นตัวการหลัก เช่นเดียวกับคดียาบ้าระดับ 1 ล้านเม็ดขึ้นไป จับได้เฉพาะกลุ่มลำเลียงที่รับทอดการลำเลียงมาหลายทอด กลุ่มลำเลียงแต่ละทอดไม่รู้จักกัน ทำงานตามคำสั่งการทางทางการสื่อสารที่ใช้เทคโนโลยีและตัดตอนการจะสืบสวนเพื่อหาตัวการใหญ่ระดับเครือข่ายรายใหญ่ในประเทศหรือระดับนอกประเทศ (Kingpin) และนำมาจัดทำแผนผังความเชื่อมโยง จึงยังไม่สามารถกระทำได้มากกว่าที่เป็นอยู่ การลำเลียงยาบ้ายาบ้า 1 ล้านเม็ดขึ้นไป จากชายแดนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือชายแดนมาส่งในพื้นที่ชั้นในค่าจ้างเหมาเป็นเที่ยว/ครั้ง ประมาณ 100,000 ถึง 200,000 บาทต่อเที่ยว/ครั้ง หรือ ค่าจ้างเป็นรายบุคคล กรณีคนลำเลียงไม่เกิน 3 คน ตกคนละประมาณ 30,000 – 50,000 บาท ลักษณะการจ่าย ผู้ว่าจ้างไม่จ่ายให้ทั้งหมด แต่จ่ายให้เป็นค่าน้ำมันก่อนล่วงหน้า หลังจากนำส่งยาสำเร็จ ดังนั้น การเสี่ยงค้ายาเสพติด จึงเป็นการเสี่ยงที่คุ้มค่า ไม่มีความเสียหายใด ๆ กรณี ไม่ถูกจับกุม จะมีรายได้จำนวนมากจากการค้ายาเสพติด กรณีถูกจับกุมได้และนำตัวเข้าเรือนจำ สามารถดำรงชีพได้อย่างสบาย ไม่ลำบาก “ผู้จำหน่ายรายใหญ่ข้ามชาติมีความเสี่ยง ในการถูกจับกุมต่ำ แต่ผลตอบแทนสูง ขัดกับหลักอาชญาวิทยา ความเสี่ยงสูง ค่าตอบแทนมาก”การจับกุมยาเสพติดจำนวนมากแม้จะดูเป็นความสำเร็จเชิงปฏิบัติการ แต่ไม่ได้สะท้อนถึงการลดลงของปัญหายาเสพติดอย่างแท้จริง ด้วยเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้
1. การปราบเฉพาะปลายทางยังไปไม่ถึงโครงสร้างต้นทาง กล่าวคือ การจับกุมมักเน้นผู้เสพหรือ ผู้ลำเลียงระดับล่าง เช่น เยาวชน แม่บ้าน หรือแรงงานข้ามชาติที่ถูกหลอกหรือจำเป็นต้องขนยา และ ผู้สั่งการหรือเครือข่ายฟอกเงินเบื้องหลังแทบไม่ถูกดำเนินคดีอย่างเป็นระบบ
2. แหล่งผลิตยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำยังเป็นแหล่งผลิตยาเสพติดหลัก รวมถึงยาบ้า ประกอบกับราคายาบ้าลดลงทำให้การผลิตและลักลอบนำเข้ายังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยตลาดยาบ้าตอบสนองกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่มีพื้นฐานการศึกษาน้อย
3. ความซับซ้อนของระบบฟอกเงินที่ยังไม่สามารถจัดการได้ โดยเงินจากการค้ายาเสพติดถูกหมุนเวียนผ่านบัญชีม้า แพลตฟอร์มออนไลน์ และ คริปโตเคอร์เรนซี และการยึดทรัพย์ยังสืบไปถึงเครือข่ายข้ามชาติได้จำกัด
4. การเปลี่ยนรูปแบบการตลาดและกลุ่มเป้าหมาย พบว่ามีการทำตลาดยาเสพติดรูปแบบใหม่ โดยเจาะกลุ่มเยาวชนและคนเมือง รวมถึงซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ทำให้ตรวจสอบได้ยากขึ้น
5. การขาดการบูรณาการข้อมูลและนโยบาย โดยหน่วยงานต่าง ๆ ยังทำงานแบบแยกส่วน ขาดระบบเชื่อมโยงข้อมูลข้ามหน่วยงาน การปราบปรามจึงถูกมองว่าเป็นเพียง “ภาพข่าวซ้ำ” ที่ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรือแก้ไขปัญหาได้จริง
ทางออกเชิงโครงสร้าง: Decriminalization ที่มีหลักฐานรองรับจากนานาชาติ
แม้นโยบายและความนิยมในการแก้ปัญหายังคงเชื่อมั่นว่า นโยบายปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้นเป็นหนทางที่ถูกต้อง เพราะมองว่าเป็นการสร้างความเกรงกลัว และเป็นการจัดการกับภัยคุกคามทางสังคมอย่างเด็ดขาดอย่างไรก็ตาม หลักฐานเชิงประจักษ์ของเราท้าทายแนวคิดดังกล่าว
- มาตรการทางกฎหมายไม่ได้สร้างความเกรงกลัวในทุกระดับ: การศึกษาชี้ว่าผู้ค้ายาเสพติด โดยเฉพาะรายใหญ่ข้ามชาติ มีความเสี่ยงในการถูกจับกุมต่ำ แต่ได้รับผลตอบแทนสูง ซึ่งขัดแย้งกับหลักอาชญาวิทยาที่ว่าความเสี่ยงสูงควรมาพร้อมกับค่าตอบแทนที่สูง นอกจากนี้ สภาพการคุมขังในเรือนจำที่บางครั้งอาจ “สะดวกสบาย” กว่า การดิ้นรนหารายได้ภายนอก ทำให้การเสี่ยงค้ายาเสพติดกลายเป็นการเสี่ยงที่ “คุ้มค่า” สำหรับบางคน
- การปราบปรามปลายทางไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นตอ: แม้จะมีการจับกุมยาเสพติดจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นการจับกุมผู้เสพหรือผู้ลำเลียงระดับล่าง ขณะที่แหล่งผลิตหลักยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ การปราบปรามจึงเป็นเพียง “ภาพข่าวซ้ำ” ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรือแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง
- การใช้กฎหมายไม่ได้หลักเศรษฐศาสตร์ Demand และ Supply: การจับกุมที่ลดปริมาณ ยาในตลาด กลับยิ่งทำให้ราคายาสูงขึ้น และเพิ่มแรงจูงใจให้มีคนสนใจเข้าสู่ธุรกิจนี้มากขึ้น นอกจากนี้ การทำตลาดยาเสพติดรูปแบบใหม่ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ก็ทำให้การตรวจสอบและปราบปรามเป็นไปได้ยากขึ้น
- ความซับซ้อนของระบบฟอกเงินที่ยังจัดการไม่ได้: เงินที่ได้จากการค้ายาเสพติดถูกหมุนเวียนผ่านบัญชีม้า แพลตฟอร์มออนไลน์ และคริปโตเคอร์เรนซี ทำให้การยึดทรัพย์และการสืบสวนไปถึงเครือข่ายข้ามชาติยังจำกัด
การลดทอนความเป็นอาชญากรรม
หลายประเทศทั่วโลก อาทิ โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ และสาธารณรัฐเช็ก ได้ทดลองใช้แนวทาง การลดทอนความเป็นอาชญากรรมของผู้เสพ (Decriminalization) หรือการควบคุมตลาด โดยเปลี่ยนผ่านจากการใช้มาตรการทางอาญา ไปสู่การใช้กลไกทางสาธารณสุขและการฟื้นฟูเป็นหลัก
- โปรตุเกส โมเดล: การลดทอนความเป็นอาชญากรรมของผู้เสพทุกชนิด โดยเปลี่ยนมาใช้มาตรการทางปกครองและสาธารณสุขแทนโทษทางอาญา ผลลัพธ์ที่ปรากฏชัดเจนคือ อัตราการใช้ยาเสพติดลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ใช้สารเสพติดรุนแรง อัตราการเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และอัตราการติดเชื้อ HIV/AIDS ลดลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ยังลดต้นทุนทางสังคมและเปลี่ยนจุดเน้นการใช้ทรัพยากรจากการจับกุมไปสู่การบำบัด ไป
- เนเธอร์แลนด์ โมเดล: การควบคุมตลาดกัญชา โดยอนุญาตให้ขายในร้านที่ได้รับอนุญาต ทำให้รัฐควบคุมคุณภาพและปริมาณได้ ลดการใช้ยาเสพติดรุนแรงในกลุ่มเยาวชน และสร้างรายได้จากภาษี
- สาธารณรัฐเช็ก โมเดล : บูรณาการสุขภาพและกฎหมาย ลดจำนวนผู้ติดยาเสพติดที่ต้องเข้ารับการรักษาแบบฉุกเฉิน และเพิ่มการเข้าถึงบริการบำบัดโดยสมัครใจ
แนวทางเหล่านี้ไม่ใช่แค่ “แนวทางตามกระแส” หากแต่เป็น นโยบายที่กล้าหาญ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์และหลักมนุษยธรรม ซึ่งพิสูจน์แล้วว่านำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีกว่าสำหรับทั้งตัวบุคคลและสังคมโดยรวม
ประเทศไทยใช้การบำบัดรักษาแบบจิตสังคม (Psycho Social) โดยรูปแบบปัจจุบัน คือ Matrix Model ที่ได้รับการอบรมจาก UCLA : University of California, Los Angeles ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 ให้กับหน่วยบำบัดต้นแบบ 13 แห่ง และได้นำรูปแบบนี้มาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับบริบทของประเทศไทยจนถึงปัจจุบันนี้
นอกจากนี้ประเทศไทยยังพบปัญหาผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ซึ่งนำไปสู่ปัญหาศักยภาพเตียงในการรองรับผู้ป่วยในที่ไม่เพียงพอ จากปัญหาดังกล่าวจึงได้ริเริ่มการพัฒนานวัตกรรมศูนย์พักคอยผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติด (Community Isolation: CI) ซึ่งเป็นการดำเนินงานโดยหน่วยงานปกครองร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ ภายใต้อำนาจการดำเนินงานศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมซึ่งเป็นกลไกตามประมวลกฎหมายยาเสพติด เพื่อรองรับผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่มีอาการสงบจนไม่มีอาการทางจิตเวชแล้วภายหลังได้รับการบำบัดรักษาจากสถานพยาบาล แต่ยังคงต้องได้รับการดูแลช่วยเหลือและฟื้นฟูสมรรถภาพต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อให้กลับไปสู่สังคมได้อย่างปกติสุขแต่ถ้าในเชิงของภาพรวมการแก้ไขปัญหาให้ผู้ป่วยยาเสพติดหรือผู้กระทำความคิดในคดียาเสพติดแล้ว ขณะนี้ สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับสำนักงานศาลยุติธรรม ได้ขับเคลื่อนโครงการ คลินิกจิตสังคมในระบบศาล ที่มุ่งเน้นการให้โอกาสแก่ผู้กระทำความผิดในคดียาเสพติดได้มีโอกาสทบทวนพฤติกรรมตนเองและหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ผ่านนักจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์ที่จะคอยให้คำปรึกษาช่วยเหลือในการปรับปรุงพฤติกรรม รวมถึงให้กำลังใจในการลด เลิกยาเสพติดในช่วงระหว่างคดียังไม่สิ้นสุด ซึ่งภายใต้บันทึกข้อตกลงฯ (MOU) ฉบับปัจจุบัน พ.ศ. 2566 - 2568 มี ศาลให้ความสนใจเข้าร่วมในปี พ.ศ. 2568 จำนวน 215 ศาล ให้คำแนะนำผ่านคลินิกจิตสังคมในระบบศาลปีละไม่ต่ำกว่า 66,942 ราย
เชิญชวนภูมิภาคนี้: เป็นพื้นที่ถอดบทเรียนระดับโลก
ประเทศไทยพร้อมแล้วที่จะก้าวไปข้างหน้า ผมจึงขอเสนอให้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเวทีระดมสมองของนานาชาติ ที่เปิดกว้างสำหรับนักนโยบาย นักวิชาการ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้มีประสบการณ์จริง ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ ได้มาร่วมกันออกแบบแนวทางระยะยาวในการรับมือกับเมทแอมเฟตามีน โดยสำนักงาน ป.ป.ส. ได้ร่วมกับสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเครือข่ายองค์กรวิชาการสารเสพติด กำหนดจัดการประชุมวิชาการสารเสพติดนานาชาติในปี ค.ศ. 2025 ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราต้องไม่เป็นเพียงผู้รับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้น แต่เราต้องเป็นผู้ออกแบบอนาคตด้วยตัวของเราเอง
ข้อเสนอเชิงนโยบายของประเทศไทยในภาพรวม
ประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างการทบทวนนโยบายยาเสพติดอย่างเป็นระบบ ด้วยความร่วมมือกับสถาบันวิชาการชั้นนำ และภาคีเครือข่ายต่างๆ ข้อเสนอหลักที่ได้รับจากผลการศึกษาและหารือร่วมกัน มีดังนี้:
- ครอบครัวและการศึกษาเป็นเกาะป้องกันปัญหายาเสพติด:ข้อมูลผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในประเทศไทยพบว่าประมาณมากกว่าร้อยละ 82 จะมีระดับการศึกษาต่ำกว่าการศึกษาขั้นพื้นฐานที่รัฐบาลให้ทุกคนในประเทศเรียนฟรี ดังนี้นการป้องกันให้ประชาชนปฏิเสธและต่อต้านยาเสพติดที่เริ่มจากครอบครัว หมู่บ้าน ชุมชน และการศึกษาโดยให้ประชาชนทุกคนได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานและความรู้จะเป็นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการแก้ปัญหายาเสพติด
- หลักการ “กันไว้ดีกว่าแก้ หรือการป้องกันอาชญากรรมดีกว่าการลงโทษอาชญากร” การควบคุม สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดมิให้ไปใช้ในกระบวนการผลิต ยาเสพติด ต้องเป็นนโยบายและความร่วมมือระหว่างประเทศให้มีระบบและกระบวนการที่สามารถควบคุม ตรวจสอบสารเคมีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เร่งปรับกระบวนทัศน์และนโยบายยาเสพติด : เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาผู้เสพ จากการใช้นโยบายและภารกิจด้านยุติธรรมไปสู่ด้านสาธารณสุขอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการฟื้นฟูสภาพทางสังคมบนความร่วมมือของภาคีเครือข่ายทุกกระทรวง เพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้ยาเสพติดได้รับการบำบัดฟื้นฟูและกลับสู่สังคมได้
- ปฏิรูปกฎหมายที่เป็นอุปสรรค: ควรปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับนโยบายใหม่ โดยเฉพาะบทสันนิษฐานเด็ดขาดที่ตีความผู้ใช้ว่าเป็นผู้ค้าโดยอัตโนมัติ และการกำหนดปริมาณยาที่ครอบครองที่เหมาะสม เพื่อนำผู้ใช้เหล่านี้เข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟูให้มากขึ้น
- ปรับแนวทางการบังคับใช้กฎหมาย: เปลี่ยนวิธีการบังคับใช้กฎหมายจากมาตรการทางอาญาไปสู่มาตรการทางปกครอง โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปรับบทบาทจากการจับกุมผู้เสพยา ไปเป็นเพียงผู้มีหน้าที่นำตัวผู้เสพเข้าสู่กระบวนการทางสาธารณสุข
- การลดทอนอันตรายจากตัวยา รวมถึงหาตัวยารักษายาบ้าในรูปแบบการรักษาที่ดำเนินการอยู่แล้วในสถานพยาบาล ซึ่งควรดำเนินการควบคู่กับการลดอันตรายจากยาเสพติดเพื่อลดการเสียชีวิต การมีอาการทางจิต และการติดเชื้อโรคต่างๆ โดยเน้นกิจกรรมลดอันตรายจากยาเสพติดที่เหมาะสมกับกลุ่มผู้ใช้ยาบ้า
- ปรับตัวชี้วัด (KPI): สร้างชุดตัวชี้วัดใหม่ที่เน้นประสิทธิภาพการจัดการผู้ผลิตและผู้ค้า รายใหญ่ และให้ความสำคัญกับผลสัมฤทธิ์ของการบำบัดและฟื้นฟูผู้เสพ โดยวัดปริมาณยาที่ลดลง ผู้ต้องขังที่ลดลง และต้นทุนทางสังคมที่ลดลง
- สร้างระบบฟื้นฟูครบวงจร: สนับสนุนระบบบำบัดแบบสมัครใจที่มีประสิทธิภาพ โดยประเทศไทยได้จัดตั้งศูนย์คัดกรองปัญหายาเสพติดกว่า 1 หมื่นแห่ง สถานพยาบาลยาเสพติดกว่า 1 พันแห่ง ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาและสารเสพติดกว่า 270 แห่ง และ ศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม 5,900 แห่งทั่วประเทศ โดยบูรณาการการส่งต่อและช่วยเหลือทางสังคมกับชุมชน โดยให้ชุมชนเกิดกระบวนการที่เข้มแข็งในการเฝ้าระวังปัญหายาเสพติด ไม่เพียงแต่ให้ความช่วยเหลือคนในชุมชน แต่ต้องมีมาตรการการควบคุมอย่างเข้มงวดในกรณีที่มีการยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดซ้ำ เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาจาก ยาเสพติดอย่างยั่งยืน
- เปลี่ยนทัศนคติของสังคม: แก้มายาคติเกี่ยวกับความรุนแรงของยาบ้า และมายาคติเกี่ยวกับความเป็นอาชญากรของผู้เสพ เพื่อให้สังคมเข้าใจว่าผู้เสพคือ “ผู้ป่วย” ที่ต้องการการเยียวยา
ประเทศไทยยินดีอย่างยิ่งที่จะเป็น เจ้าภาพและพันธมิตรที่สำคัญ ในการขับเคลื่อนการถอดบทเรียนระดับภูมิภาค ไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบอย่างแท้จริงเราต้องการสร้างนโยบายที่ไม่ใช่เพียงแค่การปราบปรามยาเสพติดให้หมดไป แต่ต้องเป็นการปลดปล่อยศักยภาพของผู้คน คืนศักดิ์ศรีให้แก่ผู้ที่เคยพลาดพลั้ง และสร้างสังคมที่ปลอดภัย ยั่งยืน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเพราะเราเชื่อมั่นว่า “นโยบายที่ดี ต้องกล้าทบทวน และกล้าปรับตามหลักฐานเชิงประจักษ์” เพื่ออนาคตที่ปลอดภัยและยั่งยืนสำหรับคนทั้งรุ่นปัจจุบันและรุ่นต่อไป
รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ขอขอบคุณคณะวิทยากรจาก 11 ประเทศทั่วโลก รวมถึงวิทยากรจากประเทศไทย ที่ได้ทุ่มเทความรู้ความสามารถในการนำเสนอข้อมูลสถานการณ์ ตลอดจน แนวทางในการแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกันในการประชุมครั้งนี้ ผมขอขอบคุณหน่วยงานจาก UNODC WHO INCB ที่ได้ให้การสนับสนุนการแก้ไขปัญหายาเสพติดมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึง ท่านทูตานุทูตจากประเทศต่าง ๆ ผู้บริหารจากหน่วยงานต่าง ๆ ทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานในวันนี้ รวมถึงต้องขอบคุณคณะทำงาน อันได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครือข่ายองค์กรวิชาการสารเสพติด และสำนักงาน ป.ป.ส. ที่ร่วมกันจัดงานนี้ขึ้น บัดนี้ได้เวลาอันสมควรแล้ว ผมขอเปิดการประชุมวิชาการสารเสพติดนานาชาติ ในครั้งนี้