ผู้ผลิตรถยนต์ซูเปอร์คาร์ชื่อดังอย่างลัมโบร์กีนี ถวายรถรุ่น 'อูรากัน' สีขาวขลิบทอง ซึ่งผลิตขึ้นเป็นพิเศษให้แก่โป๊ปฟรานซิสเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อให้พระองค์ทรงนำไปใช้ตามอัธยาศัย แต่โป๊ปฟรานซิสได้ทรงลงนามบนกระโปรงรถ ก่อนจะมอบให้องค์กรการกุศลนำไปจัดประมูลแทน โดยเงินที่ได้ทั้งหมดจะถูกนำไปใช้ในโครงการฟื้นฟูชุมชนที่อาศัยอยู่บริเวณที่ราบนิเนเวห์ ใกล้กับเมืองโมซูลของอิรัก ซึ่งได้รับผลกระทบจากการยึดครองของกลุ่มไอเอสหรือดาอิชในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงโครงการช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์
เว็บไซต์ฮัฟฟิงตันโพสต์ สื่อทางเลือกของสหรัฐฯ รายงานว่าลัมโบร์กีนีรุ่นอูรากัน มีราคาจำหน่ายในท้องตลาดอยู่ที่ประมาณ 226,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7.45 ล้านบาท แต่หลังจากที่โป๊ปฟรานซิสทรงลงนามแล้ว จะทำให้รถยนต์ดังกล่าวมีราคาประมูลเพิ่มสูงขึ้นอีกหลายเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัทต่างๆ ถวายผลิตภัณฑ์แก่โป๊ปฟรานซิส เพราะสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ก่อนหน้านี้เคยมีผู้ถวายไอแพด และมอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน พร้อมเสื้อแจ็คเก็ตหนังแท้ให้แก่โป๊ปฟรานซิสมาก่อนแล้ว แต่พระองค์ทรงมอบสิ่งของต่างๆ ให้องค์กรการกุศลทั้งหมด และที่ผ่านมาพระองค์ได้ทรงต่อต้านกระแสวัตถุนิยมและบริโภคนิยมมาตลอด จึงไม่ทรงครอบครองผลิตภัณฑ์ฟุ่มเฟือยใดๆ แม้แต่รถยนต์ส่วนพระองค์ที่ทรงใช้อยู่ปัจจุบันก็เป็นรถยนต์เฟียตขนาดกลาง
นอกจากนี้ โป๊ปฟรานซิสจะทรงประกอบพิธีมิสซาเนื่องในวันแห่งความยากจนโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 19 พฤศจิกายนของทุกปี โดยในปีนี้สำนักวาติกันได้เชิญชาวคริสต์ที่มีฐานะยากจนกว่า 4,000 คนจากฝรั่งเศส สเปน เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก และโปแลนด์มาเข้าร่วมพิธีที่จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ในนครรัฐวาติกัน ทั้งยังมีอาสาสมัครขององค์กรการกุศลอีกกว่า 1,500 คน โดยทั้งหมดจะหารือกันเรื่องการดำเนินงานในโครงการต่อต้านความยากจนด้วย
การรณรงค์ในประเด็นทางสังคมอย่างจริงจังของโป๊ปฟรานซิส ทำให้พระองค์ทรงเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งยังทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นประมุขคริสตจักรนักปฏิวัติ เพราะทรงปรับเปลี่ยนประเด็นในการเทศนาให้เข้ากับสังคมยุคปัจจุบัน โดยที่ผ่านมา โป๊ปฟรานซิสไม่ทรงตัดสินว่าการเป็นเกย์คือเรื่องผิดบาป และทรงมีคำสั่งให้ปฏิรูปโครงสร้างการบริหารงานของสำนักวาติกัน ซึ่งเป็นองค์กรรับผิดชอบดูแลกิจการต่างๆ ของคริสตจักรโรมันคาทอลิก ถือเป็นองค์กรที่เก่าแก่และมีผลประโยชน์ทับซ้อนไม่แพ้องค์กรทางโลกอื่นๆ
ซีเอ็นเอ็นมันนี่รายงานเมื่อปีที่แล้วว่าสำนักวาติกันเป็นผู้ถือครองสินทรัพย์ต่างๆ มูลค่ากว่า 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีธนาคารวาติกันเป็นผู้บริหารจัดการบัญชีทรัพย์สินของสำนักวาติกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเงินที่ได้รับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาทั่วโลก หรือบัญชีรายได้จากการท่องเที่ยวหรือให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ในนครรัฐวาติกัน ซึ่งถือเป็นรัฐศาสนาที่มีอำนาจปกครองตนเองในกรุงโรมของอิตาลี รวมถึงบัญชีเงินฝากของเจ้าหน้าที่หรือผู้เกี่ยวข้องกับสำนักวาติกันทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ธนาคารวาติกันถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับการทุจริตเมื่อปี 2015 เนื่องจากสื่อตะวันตกรายงานอ้างอิงแหล่งข่าวซึ่งเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ของวาติกัน โดยเขาได้ออกมาเปิดเผยว่าผู้บริหารธนาคารฯ มีส่วนรู้เห็นให้บุคคลภายนอกนำเงินมาฝากเพื่อฟอกเงินและเลี่ยงภาษี และโป๊บฟรานซิสทรงสั่งให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง นำไปสู่การปิดบัญชีกว่า 4,000 บัญชีของธนาคารวาติกันในปีที่ผ่านมา
เว็บไซต์เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานว่า บิชอปรายหนึ่งซึ่งเป็นอดีตผู้บริหารของธนาคารวาติกัน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชาวคริสต์อื่นๆ รวม 62 คน ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกกล่าวหาว่าโป๊ปฟรานซิสมีแนวคิด 'นอกรีต' อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการสั่งตรวจสอบและปรับเปลี่ยนโครงสร้างของสำนักวาติกัน รวมถึงการเทศนาที่ขัดแย้งกับอดีตโป๊บพระองค์อื่นๆ ในประเด็นการทำแท้ง, การคุมกำเนิด และการรักเพศเดียวกัน แต่คณะกรรมการที่รับผิดชอบดูแลเรื่องร้องเรียนของสำนักวาติกันยังไม่ได้ดำเนินการไต่สวนใดๆ