การเลือกตั้งทั่วไปของเยอรมนีเสร็จสิ้นลงไปในวันที่ 26 ก.ย. โดยการนับคะแนนในวันที่ 27 ก.ย. ชี้ว่าพรรคโซเชียลเดโมแครต หรือ SPD ได้คะแนนนำพรรคสหภาพคริสเตียน หรือ CDU ของนายกรัฐมนตรีเยอรมนีคนปัจจุบันอย่าง 'อังเกลา แมร์เคล' ด้วยคะแนนที่เฉือนกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้นคือ 25.7% ต่อ 24.1%
CNN ชี้ว่าผลคะแนนของการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พรรค SPD ของ 'โอลาฟ ชอลซ์' จะทำหน้าที่จัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้นในอนาคตอันใกล้ด้วยการได้ที่นั่งในสภาเพิ่ม 51 รวมครองที่นั่งในสภาทั้งสิ้น 206 ที่นั่ง ขณะที่พรรคกรีนซึ่งได้คะแนนมาเป็นอันดับ 3 ในการเลือกตั้งด้วยคะแนน 14.8% ครองที่นั่งในสภาไป 118 ที่นั่ง สร้างสถิติครั้งประวัติศาสตร์ เพราะถือเป็นคะแนนสูงที่สุดเท่าที่พรรคกรีนเคยได้รับจากประชาชน
นโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกและภาวะโลกร้อนคือประเด็นหลักที่พรรคกรีนใช้หาเสียง ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนมากขึ้นกว่าสมัยก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ประชาชนเริ่มตื่นรู้และให้ความสำคัญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเยอรมนีเพิ่งเผชิญกับภาวะน้ำท่วมครั้งใหญ่ในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 103 ราย
ในทางตรงกันข้าม คะแนนเสียง 24.1% ของพรรค CDU ของอังเกลา แมร์เคล นับเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นการสูญเสียคะแนนนิยมที่เลวร้ายที่สุด ถือเป็น 'ฝันร้าย' ของการปิดฉากการเป็นผู้นำของเธอหลังการดำรงตำแหน่งมาอย่างยาวนานกว่า 16 ปี โดยแมร์เคลจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนกระทั่งการจัดตั้งรัฐบาลผสมนั้นแล้วเสร็จ คาดการณ์ว่าอาจใช้เวลาจนถึงสิ้นปีนี้
นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ไม่ใช่สำหรับเยอรมนีเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสเถียรภาพของสหภาพยุโรป เพราะตลอด 16 ปีที่ผ่านมา 'แมร์เคล' ได้กลายเป็นผู้นำหญิงที่แข็งแกร่งและทรงพลัง และเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงของภูมิภาคในฐานะผู้นำประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่มากที่สุดใน EU
ความเป็นนักวิทยาศาสตร์ของแมร์เคล ส่งผลให้การบริหารประเทศของเธอยืนอยู่บนหลักความเป็นจริงเสมอมา โดยศาสตราจารย์แมตต์ ควอร์ทรัป ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยโคเวนทรีกล่าวกับ BBC ว่า แมร์เคลได้เปลี่ยนการเมืองเยอรมนีกลายเป็นการอภิปรายที่นโยบาย ไม่ใช่ประเด็นการเมือง