นับตั้งแต่สงครามเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ทางการยูเครนได้กล่าวหาว่าทางการรัสเซียทำการ “เนรเทศ” ชาวยูเครนจำนวนมาก โดยมีชาวยูเครนจากดินแดนที่ถูกรัสเซียยึดครอง ถูกบังคับให้เดินทางไปทางฝั่งรัสเซีย มากกว่าการเดินทางออกจากดินแดนถูกยึดไปยังภูมิภาคอื่นๆ ของยูเครน
“สหพันธรัฐรัสเซียยังคงลักพาตัวเด็กๆ จากดินแดนของยูเครน และจัดการให้พลเมืองรัสเซียรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมอย่างผิดกฎหมาย” กระทรวงการต่างประเทศของยูเครนกล่าวในแถลงการณ์ หลังมีรายงานพบเด็กจำนวนนับพันรายถูกลักพาตัวจากบริเวณเมืองมารีอูปอล แล้วนำไปเข้าสู่ระบบรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมแบบผิดกฎหมายในไซบีเรีย
แถลงการณ์ระบุอีกว่า “เด็กมากกว่า 1,000 คนจากมาริอูปอล” เมืองทางตอนใต้ของยูเครน ซึ่งปัจจุบันถูกกองทหารรัสเซียเข้ายึดครองอยู่ “ถูกเคลื่อนย้ายไปให้กับบุคคลภายนอกอย่างผิดกฎหมายในทยูเมน เออร์กุตสก์ เคเมโรโว และ อัลไตไคร” ซึ่งตั้งอยู่ในไซบีเรีย
กระทรวงการต่างประเทศยูเครนระบุอีกว่า พวกตนได้รับข้อมูลมาจากหน่วยงานท้องถิ่นในกราสโนดาร์ เมืองทางตอนใต้ของรัสเซียใกล้กับยูเครน โดยเด็กยูเครนมากกว่า 300 คนถูก “กักขังในสถาบันเฉพาะทาง” ในภูมิภาคกราสโนดาร์นั้นเอง
กระทรวงการต่างประเทศยูเครนกล่าวหารัสเซียอีกว่า มีการการกระทำอัน “ละเมิดต่ออนุสัญญาเจนีวาปี 2492 อย่างร้ายแรง” ซึ่งกำหนดกฎเกณฑ์สำหรับข้อปฏิบัติด้านมนุษยธรรมในช่วงสงครามและอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก ทั้งนี้ ทางการยูเครนเรียกร้องขอให้ “เด็กยูเครนทุกคนซึ่งถูกพลัดถิ่นไปยังดินแดนของรัสเซียอย่างผิดกฎหมายถูกส่งคืนให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองตามกฎหมาย”
หลายครอบครัวในมารีอูปอลเปิดเผยว่า พวกตนถูกบังคับให้หลบภัยไปยังดินแดนฝั่งรัสเซีย ขณะที่เกิดการต่อสู้กันระหว่างทั้งสองชาติ ทั้งนี้ เมืองมารีอูปอลเป็นเมืองท่าจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ตั้งอยู่บนทะเลอซอฟ ซึ่งเคยถูกล้อมโดยกองทัพรัสเซียในช่วงต้นของการรุกราน ก่อนที่รัสเซียจะเข้ายึดครองได้สำเร็จในอีกหลายสัปดาห์ต่อมา อย่างไรก็ดี ทางการยูเครนคาดการณ์ว่าอาจมีประชาชนเสียชีวิตจากการโจมตีของรัสเซียในมารีอูปอลอย่างน้อย 20,000 ราย สืบเนื่องจากการยิงถล่มด้วยขีปนาวุธและระเบิดติดต่อกันอย่างหนัก
ที่มา: