สั่นงั่กๆ เลยครับตัวผม วันนี้ตั้งใจจะเขียนเรื่อง นาฬิกากับแหวนเพชร ของท่าน พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ในมุมของ ปปช.เพราะชะตากรรมของท่านพลเอกประวิตรขึ้นอยู่กับ ปปช.นะครับ ท่านบอกว่าจะชี้แจง ปปช.ไม่ชี้แจงนักข่าว ซึ่งฟังแล้ว ปปช.ว่าไงชะตากรรม...ก็ในกำมือ
ปปช.มีหน้าที่ตามกฎหมาย เป็นองค์กรอิสระผดุงความยุติธรรม โดยจะต้องให้จบด้วยความถูกต้องที่ ประชาชนไทยพึงพอใจ มุมของผมในวันนี้จะเขียนเล่าสู่คนไทยฟังว่า ท่านประธาน ป.ป.ช.คนปัจจุบัน พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เคยให้สัมภาษณ์นักข่าวเผยแพร่ออกมาเมื่อ 10 ส.ค.2560 ท่านพูดถึงความสัมพันธ์กับ “ครอบครัววงษ์สุวรรณ” อย่างน่าสนใจมาก ...
“ส่วนประเด็นที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์ว่า ตัวประธาน ป.ป.ช. ดูเหมือนจะเกรงใจจำเลยบางคนในคดีนี้เป็นพิเศษ เนื่องจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. เป็นน้องชายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า “มันคงปฏิเสธไม่ได้ เป็นธรรมดา มันเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่การงาน มันอาจจะเป็นจุดอ่อนของชีวิต มันเลือกไม่ได้ แต่การกระทำของเราจะเป็นอย่างไรนั้นต่างหาก”
ผมเชื่อว่าในเรื่องราวแห่งนาฬิกาเรือนนี้ท่าน พล.ต.อ.วัชรพล กำจัดจุดอ่อนของชีวิตได้แน่ เพราะท่านเป็นคนตงฉิน
ตั้งใจไว้จะเขียนเรื่องนาฬิกา แต่แค่ฟ้าแจ้ง 7 ธ.ค.2560 ข่าวการเมืองชิ้นแรกที่กระหึ่ม ก็คือ “หมวดเจี๊ยบ” โดนแจ้งความให้ ปอท.ดำเนินคดี
ข่าวนี้ผมอ่านแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไร
ผมสั่นงั่กๆเลยครับ
รู้ด้วยสัญชาตฐญาณ
มาตรา 116 มันยังแรงอยู่นะ
ฉลามเขียวหลบสิ
เพราะถึงผมไม่เขียน ก็รั้งยากแล้วครับ ในโซเชียลร้อนระอุซะยิ่งกว่าในสื่อกระแสหลัก
Richard Mille กระตุกต่อมชาวโซเชียลไทยได้แล้ว
ฉลามเขียว เป็นนักข่าวแก่ ผ่านยุคสมัยการปกครองของผเด็จการทหารมาหลายยุค ฉลามไม่เคยกลัวเผด็จการ เพราะมีคุณสมบัติพิเศษคือ “หนีเร็ว” แค่เห็นรังสีอำมหิตส่องมาแว่บๆ เผ่นทันที ดังเช่นทันทีที่ได้อ่านขาว “หมวดเจี๊ยบโดน” ผมหนี ด้วยการไม่เขียนเรื่องในประเทศไทย วันนี้ผมเขียนเรื่องประเทศไต้หวันครับ
Taiwan votes to erase Chiang Kai-shek’s authoritarian legacy with new law
Renaming of streets and schools, removal of related symbols made compulsory under new ‘transitional justice bill’
เว็บไซต์ South China Morning Post พาดหัวข่าวนี้เผยแพร่ทั่วโลก PUBLISHED : Wednesday, 06 December, 2017, 2:39 pm ในเว็บไซต์ http://www.scmp.com
ตัวผมอ่านแล้วมีความประทับใจ
นี่คือ ความจริง สำหรับเผด็จการนั้น ไม่ว่าจะนานแค่ไหนสุดท้ายก็ไม่มีทื่ยืน แม้แค่อนุสาวรีย์ก็ไม่มีที่ให้ตั้งวาง
ผมเอาเรื่องนี้มาเขียนเพื่อ ขู่ให้เผด็จการกลัว
สาระของเรื่องนี้มีอยู่ว่า เจียงไคเช็ก ผู้มาจากนักเรียนนายร้อยทหารบกจีน ขุนศึกผู้ค้ำบัลลังก์ “ซุนยัดเซ็น” เป็นทหารบกมียศเป็นนายพล แล้วเมื่อ ซุนยัดเซ็น ตาย ก็ได้มรดกอำนาจขึ้นเป็น หัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋ง ปกครองแผ่นดินใหญ่จีนด้วยกำปั้นเหล็กแห่งเผด็จการทหาร มีกองทัพหนุนหลังแข็งแกร่ง โกงกิน รีดนาทาเร้น ข่มเหงรังแก ผู้คนยากจน เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
กระทั่ง “บรรณารักษ์ห้องสมุด” ผู้มีนามว่า “เหมา เจ๋อ ตง” ได้ร่วมกับพรรคพวกก่อตั้ง พรรคคอมมิวนิสต์จีน ขึ้นมาต่อสู้ แต่ก็งั้นๆ ทหารแดงมีไม่กี่คนทำอะไรทหารของก๊กมินตั๋ง ไม่ได้ กระทั่งเหมาไปเข้ากับ “ชาวนา” ที่เป็นชนหมู่มากที่สุดในจีน ทำให้กำลังรบกล้าแข็งขึ้น
เหมา บอก “หลิน เปียว” ขุนทัพใหญ่แดงว่า “ถ้าเราให้ที่ดินแก่ชาวนา จีนทั้งแผ่นดินก็เป็นของเรา” แล้วก็จริง ชาวนากลายเป็นทหารแดงที่ทรงพลานุภาพ เพราะมีจำนวนมหาศาล คนจนคนไร้ที่ทำกินมีพลัง - ถ้าสู้ ในที่สุดก๊กมินตั๋งก็แพ้ 1 ตุลาคม 1945 พรรคคอมมิวนิสต์จีน ประกาศยึดจีนได้ทั้งแผ่นดินใหญ่ “เจียงไคเช็ก” ต้องนำพลพรรคลงทะเลไปอยู่ เกาะไต้หวัน มี “ไทเป” เป็นเมืองหลวง ก็ยังปกครองอย่างเผด็จการ แล้วแปลงร่างเป็นประชาธิปไตย ให้มีเลือกตั้งประธานาธิบดี พรรคการเมืองของก๊กมินตั๋ง Kuomintang (KMT) ชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลมาตลอด ดำเนินนโยบายเผชิญหน้าคอมมิวนิสต์จีนอย่างแข็งขัน เพราะชาวบ้านยังกลัวคอมมิวนิสต์มายึด
กระทั่งการเลือกตั้งปี 2016 พรรค Democratic Progressive Party (DPP) นำโดย Tsai Ing-wen (ไซ่ อิง-เหวิน ) ก็ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี
และลงมือ “ล้างคราบเผด็จการ” ของ “เจียงไคเช็ก” ทันที “stripped of legitimacy” ด้วยการยกร่างกฎหมายที่เรียกว่า transitional justice bill กฎหมายเปลี่ยนผ่านสู่ความยุติธรรม อันจะใช้เป็นเครื่องมือลบล้าง “White Terror – ความกลัวสีขาว ” ที่ เจียงไค เช็ก ก่อกรรมทำเข็ญข่มเหงประชาชนที่กระด้างเดื่อง จับขังและฆ่า ช่วงปี 1947 จนถึงวันตายในปี 1975.
กฎหมายฉบับนี้ ให้ ทุบทำลาย รื้อถอน อนุสาวรีย์ สิ่งปลูกสร้าง อันเป็นสัญลักษณ์ของ เจียงไคเช็ก ที่สร้างไว้ในสถานที่สาธารณะ โรงเรียน มหาวิทยาลัย สถานที่ราชการ สวนสาธรรณะ ทุกแห่งทั่วไต้หวัน รวมทั้ง ถ้าใช้เป็นชื่อถนนก็ให้เปลี่ยนใช้ชื่อใหม่ สั่งให้อนุสรรณ์สถาน เจียงไคเช็ก หยุดขายสัญลักษณ์ หยุดเผยแพร่ชีวประวัติ ผลงาน
ให้รัฐบาลค้นหารายชื่อเหยื่อ และประกาศคืนความยุติธรรมแก่ครอบครัว
ที่ประชุมรัฐสภาไต้หวัน ลงมติอนุมัติกฎหมายฉบับนี้เมื่อวันอังคาร 5 ธ.ค.2017 อีก 2 สัปดาห์ประธานาธิบดีไซ จะลงนามประกาศใช้เป็นกฎหมาย การผ่านกฎหมายฉบับนี้ตรงกับช่วงรำลึกครอบรอบ 70 ปี “ฆ่าหมู่ประชาชนไต้หวันตาย 28,000คน” โดยระบอบปกครองเจียงไคเช็ก ในปี 1947
That move came on the 70th anniversary of a 1947 massacre which is estimated to have killed 28,000 people and was the prelude to the “White Terror” crackdown.
ว่ากันตามตรง ข่าวนี้ไม่ใช่ข่าวดัง และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกัยประชาชนไทย แต่ตัวผมมีควาประทับใจในการต่อสู้ จึงขอนำมาเขียนเล่าสู่คนไทยฟังด้วย ให้รู้ว่า สู้กับผู้เผด็จการต้องสู้อย่างยืดเยื้อครับ นานแค่ไหนก็สู้ เผด็จการตัวนั้นแม้ตายไปแล้ว เราก็ต้องสู้ แล้วเมื่อประชาชนชนะ ก็จง กวาดล้างคราบอำมหิต เหมือนที่ชาวไต้หวันกำลังทำอยู่
จำไว้นะเผด็จการทั้งหลาย
วันนี้ท่านใหญ่ค้ำฟ้า ไม่มีใครทำอะไรได้ แต่สำหรับเผด็จการแล้วไม่ว่า จะนานแค่ไหนมีจุดจบเดียว
ไม่มีที่ยืน
แม้แค่อนุสาวรีย์ก็ไม่มีที่ให้ตั้งวาง
ฉลามเขียว
7 ธันวาคม 2560