อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ คนที่ 44 , อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ผู้นำคนที่ 43 และ อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน ผู้นำคนที่ 42 พร้อมใจเป็นอาสาสมัครเข้ารับการฉีดวัคซีนป้อนกันไวรัสโคโรนา ต่อสาธารณชนในทันทีที่คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ อนุมัติการใช้วัคซีนดังกล่าว เพื่อหวังสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีน
ท่าทีของสามอดีตผู้นำสหรัฐฯ มีขึ้นท่ามกลางความพยายามของหน่วยงานด้านสาธารณสุขสหรัฐที่กำลังพยายามอย่างหนักเพื่อโน้มน้าวให้ชาวอเมริกันเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยทั้งสาม หวังว่าการรณรงค์ครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนเรื่องความปลอดภัย และประสิทธิภาพของวัคซีน
แม้จะมีรายงานข่าวประสิทธิภาพในการทดลองทางคลินิกระยะสาม ของวัคซีนจากไฟเซอร์, โมเดอร์นา และ แอสตราเซเนกา ว่ามีสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาได้ถึงกว่า 90% แต่ยังมีชาวอเมริกันจำนวนมากที่แสดงความกังวลในเรื่องความปลอดภัย และยังไม่มั่นใจในวัคซีน โดยเฉพาะกลุ่มคนผิวสี ซึ่งผลสำรวจไม่นานนี้พบว่า กลุ่มประชากรแอฟริกัน-อเมริกัน ไม่ค่อยให้ความสนใจเข้ารับวัคซีน เมื่อเทียบกับประชากรกลุ่มอื่นๆของสหรัฐฯ
อดีต ปธน.โอบามา ให้สัมภาษณ์กับเมื่อ 2 ธ.ค. โดยกล่าวว่า หากมีการยืนยันหรืออนุมัติความปลอดภัยของวัคซีน เขาพร้อมจะฉีดและยินดีให้มีการบันทึกภาพ หรือถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ โดยอดีต ปธน.คนที่ 44 แสดงความเห็นว่าเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ โดยกล่าวว่า "วัคซีนเป็นเหตุผลที่ทำให้เราไม่เป็นโรคโปลิโอ และเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมเราไม่ต้องเห็นเด็กๆ เสียชีวิตจากโรคหัด, ไข้ทรพิษ หรือโรคระบาดอื่นๆ ที่คร่าชีวิตผู้คนมาแล้วไม่ถ้วน"
ขณะที่ เฟรดดี้ ฟอร์ด อดีตหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของ ปธน.บุช เผยกับซีเอ็นเอ็นว่า อดีต ปธน.บุช ได้ติดต่อกับ ดร.แอนโธนี ฟอซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้ออันดับต้นๆ ของสหรัฐฯ เพื่อประสานงานว่าจะสามารถช่วยส่งเสริมการรณรงค์ฉีดวัคซีนได้อย่างไร
"ประการแรกวัคซีนต้องถูกรับรองความปลอดภัย และมีการจัดลำดับความสำคัญว่าประชากรกลุ่มใดที่จะได้รับสิทธิเข้ารับวัคซีนก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อถึงเวลานั้น ปธน.บุช ยินดีต่อแถวเพื่อเข้ารับการฉีด และยินดีจะดำเนินการดังกล่าวผ่านกล้อง" อดีตคนใกล้ชิดบุชกล่าว
เช่นเดียวกับที่ปรึกษาฝ่ายสื่อของอดีต ปธน.คลินตัน กล่าวว่า อดีตผู้นำสหรัฐฯ คนที่ 42 ยินดีเข้ารับการฉีดวัคซีนต่อหน้าสาธารณชนเช่นกัน หากช่วยกระตุ้นให้ชาวอเมริกันทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนโควิด
ที่มา : CNN