โชลซ์เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนี ซึ่งมีแนวคิดฝ่ายซ้ายกลาง ต่างจากพรรครัฐบาลเดิมของแมร์เคลอย่างพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน ที่มีอุดมการณ์ขวากลางซึ่งปกครองเยอรมนีมาอย่างยาวนานกว่า 16 ปี การขึ้นมาของโชลซ์จึงอาจเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองของเยอรมนี ยุโรป จนถึงโลกทั้งใบไปในอีกหลายปีข้างหน้า
สาบานตนโดยไม่เอ่ยถึงพระเจ้า
ไม่มีการเปล่งคำว่า “ขอพระเจ้าทรงโปรดเมตตาข้าพเจ้า” (So help me God) จากโชลซ์ ในการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของเขาซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถเลือกทำได้ นี่คือความพยายามของโชลซ์ที่จะแยกปริมณฑลทางการเมืองกับศาสนาออกจากกัน หลังจากเสียงของรัฐสภาเยอรมนีโหวตรับรองให้โชลซ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศ
แมร์เคลอดีตนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งมากว่า 16 ปี เลือกที่จะเกษียณตัวเองออกจากการเมือง แทนที่จะแพ้การเลือกตั้งแทน อย่างไรก็ดี พรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียนไม่สามารถหาผู้นำที่โดดเด่นกว่าแมร์เคลเพื่อสืบทอดทายาททางการเมืองของเธอได้
เหตุดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้พรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนีของโชลซ์ คว้าเสียงไว้วางใจจากประชาชนได้มากกว่าพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน และสามารถรวบรวมเสียงกับพรรคอุดมการณ์ฝ่ายซ้ายอื่นๆ จนจัดตั้งรัฐบาลขึ้นได้ ทั้งนี้ ในวันสุดท้ายที่รัฐสภาเยอรมนีของแมร์เคล เธอได้กล่าวอวยพรให้ โชลซ์โชคดี และทำงานเพื่อประเทศชาติต่อไป ในขณะที่โชลซ์กล่าวถึงแมร์เคลว่า เธอได้ทิ้งสิ่งที่น่าจดจำไว้แก่ประเทศแห่งนี้
นายกรัฐมนตรีฝ่ายซ้ายคนใหม่
โชลซ์เคยดำรงตำแหน่งรองนากยกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งแต่ ค.ศ.2018 รวมถึงเคยเป็นอดีตนายกเทศมนตรีเมืองฮัมบวร์ก ด้วยดีกรีอดีตนักกฎหมายที่สมัครเข้าพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนีตั้งแต่อายุ 17 ปี และทวีบทบาททางการเมืองเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โชลซ์ถูกจับตาในฐานะผู้ที่จะมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเยอรมนีแทนแมร์เคลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สื่อและนักวิชาการหลายสำนักมองว่าโชลซ์มีลักษณะส่วนตัวคล้ายกันกับแมร์เคล ต่างกันที่อุดมการณ์ที่อยู่คนละซีก และความเด็ดขาดอันเป็นนิสัยส่วนตัว อย่างไรก็ดี เยอรมนีภายใต้ยุคโชลซ์ย่อมแตกต่างไปจากเยอรมนีภายใต้ยุคแมร์เคล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่พรรคของโชลซ์ได้จับมือร่วมตั้งรัฐบาลพรรคผสม ที่ได้เสียงมาจากพรรคกรีน และพรรคเสรีประชาธิปไตย
ทั้งนี้ รัฐบาลผสมของโชลซ์ที่ประกอบไปด้วยรัฐมนตรี 16 คนจากพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย พรรคกรีน และพรรคเสรีประชาธิปไตย กลายเป็นรัฐบาลชุดแรกของเยอรมนีที่มีความหลากหลาย โดยเฉพาะ รัฐมนตรีผู้หญิงในคณะรัฐมนตรี ที่มีจำนวนไม่ต่างไปจากรัฐมนตรีผู้ชาย โดยรัฐบาลชุดใหม่ของเยอรมนีตั้งเป้าหมายของพวกเขาว่า เยอรมนีจะต้องตอบรับกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ด้วยการลดการใช้พลังงานถ่านหิน และการหาพลังงานทดแทนอื่นๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
รับไม้ต่อจากพรรคคู่แข่ง ท่ามกลางวิกฤตโควิดระลอกใหม่
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ.2005 ที่พรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียนกลายมาเป็นฝ่ายค้าน โดยรัฐบาลเดิมของแมร์เคลถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีแนวนโยบายที่โน้มน้าวไปแต่เพียงด้านการค้า ในขณะที่ปัญหาทางด้านการเมืองกลับถูกละเลย อาทิ การเมินเฉยต่อจีนและรัสเซียต่อประเด็นด้านการเมืองระหว่างประเทศ และปัญหาสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ดี รัฐบาลเยอรมนีชุดใหม่ยังคงมีภารกิจหลักเฉพาะหน้าที่สำคัญที่สุด คือการรับมือกับปัญหาโควิด-19 ในประเทศ
เยอรมนีกำลังเจอกับการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ทั่วทั้ง 16 รัฐของพวกเขา ซึ่งกำลังทำให้ประชาชนอย่างน้อย 6 หมื่นรายติดเชื้อโควิด-19 ในแต่ละวัน ในขณะที่เยอรมนีเองตั้งเป้าหมายการฉีดวัคซีนครบโดสให้แก่ประชากรทั้งหมดอย่างน้อย 75 เปอร์เซ็นต์ แต่รัฐบาลของแมร์เคล ระบุว่า สาเหตุที่ทำให้เยอรมนียังคงไม่ถึงเป้าหมายการฉีดวัคซีนครบโดส เกิดขึ้นจากกลุ่มต่อต้านการฉีดวัคซีน
ในทางตรงกันข้ามโชลซ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ให้การสนับสนุนมาตรการบังคับการฉีดวัคซีน “เราจะต้องปูทางสำหรับการตัดสินใจด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของสมาชิกของรัฐสภาของเยอรมนี เกี่ยวกับเรื่องมาตรการบังคับการฉีดวัคซีน ที่จะเริ่มนำมาปฏิบัติใช้ในช่วงปีหน้า ไม่เดือนกุมภาพันธ์ก็เดือนมีนาคมที่จะถึง” โชลซ์กล่าวต่อรัฐสภา เพื่อหวังว่าเยอรมนีภายใต้การนำของเขาจะสามารถพลิกสถานการณ์โควิด-19 ให้กลับมาดีขึ้นได้
“กล้าที่จะก้าวหน้ามากขึ้น” คือคำสัญญาที่รัฐบาลฝ่ายซ้ายชุดใหม่ของเยอรมนี ภายใต้การนำของโชลซ์ได้มอบไว้ให้แก่ประชาชน หลังจากที่เยอรมนีมีผู้ปกครองแนวอนุรักษ์นิยมอย่างแมร์เคลมาอย่างยาวนาน กิจการในเยอรมนี การเมืองของยุโรป และสถานการณ์ของโลกกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป ในขณะที่การเปลี่ยนผ่านทางอำนาจตามระบอบประชาธิปไตยเยอรมนียังคงราบรื่นไม่เปลี่ยนแปลง
ที่มา:
https://www.bbc.com/news/world-europe-59575773