ไม่พบผลการค้นหา
"วรวัจน์" แนะรัฐบาลเอากลุ่มเสี่ยงออกมาดูแล แยกจากสังคม โดยใช้เงินกองทุนประกันสังคม ติงมาตรการปิดสถานบริการไม่หยุดการระบาดของโรค แต่กระทบภาคธุรกิจ วอนรัฐบาลปรับการใช้งบปี 63 ดูแลภาคเกษตรกรรมเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัว

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 แสดงความเห็นต่อมาตรการปิดสถานบริการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 14 วันที่รัฐบาลประกาศเมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2563 โดยมีผล 18 - 31 มี.ค. นี้ ซึ่งตนมองว่ามาตรการดังกล่าวไม่ได้ช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพราะรัฐบาลไม่ได้นำกลุ่มเสี่ยงออกมาดูแลและกักตัว ดังนั้นคนเหล่านี้แม้จะไม่ได้ไปสถานบริการ แต่ก็ยังไปร้านอาหารหรือที่อื่นๆ ได้ ยิ่งไปกว่านั้นอาจเดินทางไปต่างจังหวัดทำให้เกิดการแพร่กระจายไปสู่ต่างจังหวัดได้อีก

นอกจากนี้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้โดยตรงคือผู้ประกอบการ และทำให้คนกลัวมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอยู่แล้ว และจะทำให้ไม่มีรายได้มาชำระภาษีได้ตามเป้าที่รัฐบาลวางไว้ 2.7 ล้านล้านบาท นายวรวัจน์คาดว่าจะทำให้รายได้จากภาษีของรัฐหายไปกว่าแสนล้านบาท 

ดังนั้น นายวรวัจน์ จึงเสนอให้รัฐบาลเปลี่ยนจากการที่ค้นหาผู้ป่วย เป็นเร่งหากลุ่มเสี่ยงที่มีอยู่เพียงแค่ร้อยละ 0.1 ของคนไทย 67 ล้านคน แล้วเอากลุ่มเสี่ยงออกมาตรวจ ดูแล รักษา ให้คนเหล่านี้พักอาศัยอยู่ที่บ้าน ไม่ออกมาปะปนกับผู้อื่น และจ่ายเงินช่วยเหลือดูแลระหว่างกักตัว เพราะในความเป็นจริงคือบางคนถ้าไม่ทำงานก็ไม่มีรายได้ จึงต้องออกมาทำมาหากิน ซึ่งก็จะยิ่งแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น และตอนนี้การแพร่ระบาดของไวรัสอยู่ในระดับคนไทยสู่คนไทย ไม่ใช่ระยะที่ 2 แล้ว ตนคาดว่าจะมีกลุ่มเสี่ยงราว 50,000 คน หากรัฐบาลใช้เงินดูแลคนเหล่านี้ขณะที่กักตัวหรือรักษาตัวคนละ 100,000 บาท จะใช้งบประมาณราว 5,000 ล้านบาท

นายวรวัจน์ ยังเสนอให้ใช้เงินจากกองทุนประกันสังคมมาดูแลกลุ่มเสี่ยง ซึ่งตอนนี้กองทุนประกันสังคมมีอยู่ 2.05 ล้านล้านบาท และมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6 ต่อปี ซึ่งกองทุนนี้มีเพียงพอต่อการดูแลกลุ่มเสี่ยง และไม่กระทบต่อการจ่ายเงินบำนาญให้กับผู้ประกันตน ส่วนการดูแลจะทำโดยรัฐบาลโดยตรง หรือให้อำนาจกับท้องถิ่นในการดูแลก็ได้ เนื่องจากผู้บริหารส่วนท้องถิ่นก็จะรู้จักคนในชุมชนของตนเป็นอย่างดี พร้อมทั้งย้ำว่า ตอนนี้รัฐบาลพุ่งเป้าไปที่ผู้ป่วยอย่างเดียว แต่ไม่เอากลุ่มเสี่ยงออกมาจากสังคม ยอดผู้ป่วยก็ยังจะไม่ลดลง แต่หากเอากลุ่มเสี่ยงออกมาดูแลไม่ให้ไปปะปนกับคนทั่วไปได้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดสถานบริการ

ขณะเดียวกันยังเห็นว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจอาจจะทำให้เศรษฐกิจประเทศล่มสลาย และรัฐบาลถังแตก อีกทั้งตอนนี้ผ่านมา 6 เดือนแล้วงบประมาณยังไม่ถูกใช้ ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องปรับแผนการใช้งบประมาณอย่างเร่งด่วน รัฐบาลจะบริหารรราชการแผ่นดินเหมือนภาวะปกติไม่ได้ ต้องปรับการใช้งบประมาณให้เกิดรายได้กลับคืนมา โดยการไปดุแลภาคเกษตรกรรม ให้มีการหมุนเงินในระดับรากหญ้า ลดการจัดซื้ออาวุธ และไม่ใช้งบประมาณไปพะยุงหุ้น เพราะตอนนี้หุ้นดิ่งลงโดยไม่เห็นแนวโน้มที่จะหยุด ยิ่งใช้เม็ดเงินไปพะยุงมากเท่าไหร่ งบประมาณของประเทศก็จะมีความเสี่ยงมากเท่านั้น ทั้งนายวรวัจน์ ย้ำว่า ตนไม่ได้ตำหนิรัฐบาล แต่ต้องการให้ตัดสินใจเด็ดขาด แก้ไขปัญหาให้ถูกต้อง เพื่อลดความเสียหายต่อภาวะเม็ดเงินของรัฐบาลในอนาคต