นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึง กรณีการต่ออายุสัมปทานให้ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ในคดีพิพาทกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย โดยส่วนตัวมองว่าการเจรจาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพื่อให้สามารถยุติคดีข้อพิพาททั้งหมด โดยยอมจ่ายค่าโง่ 59,000 ล้านบาท เพราะหากรอจนคดีถึงสิ้นสุดอาจจะต้องจ่ายค่าโง่มากกว่า 1.3 แสนล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาหากยึดตามคำตัดสินของศาล ศาลจะยึดแนวทางตามการพิจารณาครั้งแรกเป็นคดีตัวอย่าง ทำให้คดีหลังออกมาในแนวทางเดียวกัน เช่น คดีโฮปเวลล์ที่เกิดขึ้นล่าสุด
ขณะเดียวกัน ในส่วนของการเจรจาทาง BEM ได้ยื่นข้อเสนอทำโครงการ Double Deck ซึ่งเป็นทางด่วนขั้นที่ 2 วงเงิน 3 หมื่นล้านบาทเอง อายุสัมปทาน 15 ปี แต่หากโครงการไม่ผ่านอีไอเอก็ไม่สามารถขยายสัมปทานทางด่วนเป็น 30 ปี ได้ ซึ่งการจ่ายผลประโยชน์ให้รัฐยังอยู่ 60 ต่อ 40 ตามเดิม ดังนั้นจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
นายไพรินทร์ ระบุว่า การตัดสินใจเป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ ซึ่งคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยก็เดินตามมติของคณะรัฐมนตรี แต่ไม่อยากให้เอาประชาชนมาเป็นตัวประกัน และมองว่าหากการทางพิเศษฯ บริหารจัดการทางด่วนเองอาจจะมีปัญหาคล้าย ขสมก. หรือ การรถไฟฯ จนเกิดหนี้สะสมจนต้องให้รัฐนำเงินมาอุดหนุน ตามนโยบายประชานิยมต่างๆ ซึ่งหากในอนาคตมีการนำเงินภาษีของประชาชนอุดหนุนอีก ก็อาจจะไม่เป็นธรรมกับประชาชนทั้งประเทศและเป็นการเข้าสู่วังวนเดิม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :