นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนมิถุนายน 2563 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ในเกณฑ์ทรงตัวเหมือนเดือนก่อนหน้า โดยนักลงทุนคาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือนโยบายภาครัฐและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 2/2563 รวมถึงการคลี่คลายของสถานการณ์โรคระบาดและการค้นพบวัคซีนป้องกันโควิด-19
โดยธุรกิจที่นักลงทุนมองว่าน่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดอาหารและเครื่องดื่ม เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ด้านหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ ฉะนั้นสิ่งที่ต้องติดตาม คือ การขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า การควบคุมการระบาดของโควิดในช่วงการผ่อนคลายให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินหน้า ผลของมาตรการการเงินการคลัง และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
สำหรับในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน จากปัจจัยในประเทศที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบกรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากการระบาดของไวรัสคลี่คลาย วงเงิน 400,000 ล้านบาท และปัจจัยนอกประเทศจากการประกาศมาตรการ QE ทั้งในอเมริกาและยุโรป ซึ่งส่งผลให้เงินลงทุนไหลเข้ามากขึ้น โดยช่วงครึ่งเดือนแรกดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1,257 – 1,299 จุด จากนั้นดัชนีปรับตัวในทิศทางที่เพิ่มขึ้นหลังจากมีการผ่อนคลายล็อกดาวน์ ซึ่งช่วยหนุนการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2563 SET index ปิดที่ 1,342.85 จุด
ทั้งนี้ นายไพบูลย์ ระบุว่า บรรยากาศทางการเมืองจากเหตุการณ์เมื่อวานที่คณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐแห่ลาออก เชื่อว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน เนื่องจากเท่าที่ประเมินเสถียรภาพทางการเมืองในแง่ของจำนวนเสียงต่างๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ซึ่งการเปลี่ยนตัวคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือ โยกย้ายตำแหน่งเป็นเรื่องปกติที่ทำเป็นประจำอยู่แล้ว ดังนั้นนักลงทุนจึงไม่ได้ให้น้ำหนักตรงนั้น เพียงแต่มีความต้องการว่าคนใหม่ที่จะเข้ามาอยากได้คนมีความสามารถ มีความรู้จริงๆ โดยเฉพาะในด้านของเศรษฐกิจ