วันที่ 13 ส.ค. 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง (รมว.) กลาโหม แถลงการณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยภายหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่เข้ารับหน้าที่ โดยระบุว่า รัฐมนตรีใหม่ เข้ามาทำหน้าที่ในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกคนในประเทศไทย วันนี้ตนจึงต้องขอพูดเรื่องสำคัญที่กำลังรอเราอยู่ในอนาคตข้างหน้า ทั้งนี้ ที่ผ่านมา พวกเราได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ต่อสู้กับโควิด จนสำเร็จได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังต้องสู้กันต่อไปอีก เพราะปัญหาโควิดในโลก ยังไม่จบ ความร่วมมือกันของทุกคนในช่วงที่ผ่านมา ได้รักษาชีวิตของผู้คนเอาไว้ นับหมื่นชีวิตก็ว่าได้ และที่มากไปกว่านั้น ก็คือ ปกป้องไม่ให้ครอบครัวจำนวนมากต้องสูญเสียเสาหลักของครอบครัวไป ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ ลูก หรือหลาน ของเรา ไม่ต้องเสียชีวิตเพราะโควิด ซึ่งนั่นจะเป็นความเจ็บปวดอย่างที่สุด ที่ติดไปตลอดชีวิต แม้โควิดจะหมดไปจากโลกนี้แล้วก็ตาม
นอกจากนั้น ความร่วมมือกันของพวกเราทุกคน ยังช่วยรักษาเงินของประเทศเอาไว้ เป็นพันๆ หมื่นๆ ล้าน ไม่ต้องถูกเอาไปใช้กับการจัดหายาและอุปกรณ์ทางสาธารณสุขมารักษาผู้ป่วย ทำให้ตอนนี้ เราสามารถนำเงินนั้นมาช่วยเรื่องเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนได้หลายล้านครอบครัว อย่างประเทศไทยเรา คงรับไม่ไหวหากมีการล้มตายของคนเป็นหมื่นๆ เหมือนที่เกิดในหลายประเทศ นั่นคือเหตุผลที่ผมยังต้องให้ความสำคัญกับการดูแลและป้องกันวิกฤตสาธารณสุขต่อไปอีก เพราะนั่นก็ส่งผลต่อเรื่องเศรษฐกิจด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า วิกฤตเศรษฐกิจที่เรากำลังเผชิญอยู่ จะไม่หายไปได้ในเร็ววัน พวกเราต้องอยู่บนโลกของความเป็นจริง ในเมื่อผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศจำนวนมาก ต่างคาดการณ์ว่า ทุกคนคงจะต้องทนทุกข์กับวิกฤตนี้ ไปจนถึงปลายปีหน้า เมื่อทั้งโลกต้องเจ็บหนักกับวิกฤตเศรษฐกิจที่เลวร้ายกว่าครั้งไหน ประเทศไทยก็ได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัสนี้ด้วย เพราะเศรษฐกิจไทย เชื่อมอยู่กับเศรษฐกิจโลกอย่างมาก เราพึ่งพานักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และเราทำการค้าขายกับทั่วทุกมุมโลก เมื่อเราอยู่ในพายุวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังโหมกระหน่ำ เราเองก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้ ซึ่งดูแล้วว่า เศรษฐกิจประเทศไทยจะเริ่มกลับมาเป็นปกติได้ ก็ต่อเมื่อประเทศอื่นๆ ในโลกเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติด้วย
แจงดึงคนนอกมาร่วม รมต.ใหม่ ทำงาน รวมไทยสร้างชาติ ยินดีทำงานพรรคร่วม
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่าในแถลงการณ์ครั้งก่อนที่ตนพูดว่า เราต้องให้คนที่เก่งที่สุด จากทุกภาคส่วน และจากทุกระดับของสังคม ได้มีโอกาสใช้ความรู้ความสามารถ ทำงานร่วมกัน เพื่อผ่านพ้นวิกฤตโควิดนี้ไปให้ได้ และมากกว่าแค่ผ่านพ้นวิกฤตโควิด คือ ตอนนี้เราต้องทำงานร่วมกันเพื่อวางแผน และขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น ด้วยวิธีการทำงานแบบ new normal ที่เรียกว่า รวมไทยสร้างชาติ โดยเปิดโอกาสให้คนเก่งๆ ในประเทศของเราได้ทำงานร่วมกัน ตนจึงได้ตัดสินใจเชิญผู้มีความสามารถ ซึ่งเป็นคนนอก ที่ไม่ได้มาจากภาคการเมือง เข้ามาเป็นรัฐมนตรีใหม่
"ในโลกประชาธิปไตย เราต้องทำงานด้วยกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ผมยินดีที่จะทำงานกับพรรคร่วมรัฐบาลให้ได้อย่างดีที่สุด แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีจากพรรคร่วม มาช่วยกันทำงานรับใช้ประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ผมดีใจที่ทุกคนเห็นตรงกันว่า เราต้องเปิดกว้าง ในสถานการณ์นี้ เพราะเราต้องให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นภัยร้ายแรงต่อการดำรงชีวิตของประชาชน ไม่แพ้เรื่องสาธารณสุข ผมจึงตัดสินใจ เลือกแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับสถานการณ์ที่สุด โดยไม่ได้มองว่าอยู่ในการเมืองหรือไม่ ให้เข้ามาบริหารงานด้านเศรษฐกิจ ท่านเป็นบุคคลที่เป็นที่เคารพในเรื่องเป็นผู้มีจริยธรรม และมีประวัติการทำงานที่โดดเด่น ในฐานะมืออาชีพมาอย่างยาวนาน" พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงถึงแนวทางที่มอบให้รัฐมนตรี 5 อย่าง
• งานที่ 1: เราต้องเยียวยาความเจ็บปวดที่ประชาชนกำลังเผชิญอยู่ต่อไปอีกโดยเฉพาะกลุ่ม SME และประชาชนในภาคส่วนต่างๆ ที่ต้องตกงานในช่วงที่ผ่านมา
• งานที่ 2: เราต้องแก้ปัญหาต่างๆ ในแนวทางที่จะช่วยประเทศ อย่างยั่งยืน โดยต้องตระหนักอยู่เสมอว่าปัญหาเศรษฐกิจโลกจะยังคงอยู่ต่อไปอีกนาน ซึ่งรู้ดีว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะให้เงินเยียวยากันไปตลอด ดังนั้นเราต้องเริ่มทำโครงการที่จริงจัง ทำให้ได้ ที่จะช่วยแก้ปัญหาปัจจุบัน นอกจากนั้น ต้องเตรียมการที่จะสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจให้ได้อย่างยั่งยืน เมื่อโลกกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เราต้องทำโครงการที่ถูกต้อง ตอบโจทย์ปัญหาต่างๆ และเราจะต้องใช้เงินที่มีอยู่อย่างเหมาะสม และให้ความช่วยเหลือไปถึงคนที่ต้องการจริงๆ โดยใช้กลไก โครงสร้าง คณะกรรมการ และศูนย์บริหารสถานการณ์ที่มีการทำงานบูรณาการกัน ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
• งานที่ 3: เราต้องสร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจต่างๆ ยังคงการจ้างงานลูกจ้างของเค้าต่อไป และให้ธุรกิจต่างๆ ใช้ช่วงเวลานี้ พลิกองค์กรของตัวเองให้กลายเป็นองค์กรที่มีประสิทธภาพและสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น
• งานที่ 4: เราต้องมีแผนเรื่องการจ้างงานคนรุ่นใหม่ นักศึกษาจบใหม่จำนวนมากกำลังเข้าสู่ตลาดแรงงาน พวกเค้าจำเป็นต้องมีงานทำ
• งานที่ 5: คือ งานที่เกี่ยวกับการทำงานต่างๆ เหล่านี้ จะต้องทำด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส่ และรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทุกคนในสังคมมีบทบาทหน้าที่ ที่จะช่วยกันนำพาประเทศ ก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปให้ได้
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า การแต่งตั้งบุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่สุด โดยไม่ได้มองว่าอยู่ในการเมืองหรือไม่ ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เป็นส่วนหนึ่งของรวมไทยสร้างชาติ และตอนนี้ตนกำลังเดินหน้า ดึงผู้ที่มีความรู้ความสามารถที่อยู่ในภาคส่วนอื่นๆ ของสังคม ให้มาช่วยกันคิดและขับเคลื่อนประเทศด้วย
เผย ส.ค.-ก.ย. เตรียมร่วมฟังทุกภาคส่วนพลิกฟื้นประเทศให้ดีขึ้นเหมือนก่อนโควิด
ในช่วงเดือนนี้ และเดือนหน้า ตนจะเริ่มทำ workshops กับภาคส่วนต่างๆ ซึ่งจะเข้ามานำเสนอวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนภาคส่วนของเค้า นำเสนอมุมมองเกี่ยวกับโอกาสที่เค้ามองเห็น และมุมมองเกี่ยวกับบทบาทของรัฐบาลในการสนับสนุนภาคส่วนนั้นๆ ให้เดินหน้าได้เร็วยิ่งขึ้น โดยตนจะเข้าร่วมรับฟังการนำเสนอของทุกภาคส่วนด้วยตัวเอง สิ่งที่ตนต้องการสำหรับประเทศไทย คือ เมื่อถึงเวลาที่วิกฤตโควิดเริ่มหายไป ประเทศไทยของเราจะไปอยู่ในจุดที่จะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว สร้างโอกาสการจ้างงานมหาศาล และทำให้ประเทศไทยอยู่ในจุดที่ดีขึ้นกว่าก่อนที่โควิดจะเกิดด้วยซ้ำ บทบาทของตนต้องการเข้าใจประเด็นต่างๆ ด้วยตัวเอง เพื่อสั่งการให้ภาครัฐให้การสนับสนุนภาคส่วนต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม และให้ภาครัฐช่วยกำจัดอุปสรรคที่ดึงรั้งภาคส่วนต่างๆ เอาไว้
"การร่วมแรงร่วมใจกันแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกันของเรา จับมือหารือกันอย่างสร้างสรรค์ วางแผน และลงมือทำ นี่คือหนทางที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากปัญหาที่ถ่วงประเทศไทยเอาไว้มาอย่างยาวนาน" นายกรัฐมนตรี ระบุ
ย้ำมองอนาคตข้างหน้า ร่วมนิยามการเมืองใหม่ทำลายการเมืองแบบเก่า
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมือง ซึ่งกีดขวางการร่วมแรงร่วมใจกันอย่างเป็นหนึ่งเดียวของคนไทยในการแก้ปัญหาต่างๆ เป็นสิ่งที่ควรจะมีอยู่แค่ในอดีต เราต้องหยุดพูดคำว่า “พวกเค้า” หรือ “พวกเรา” คนที่พูดว่า “ฉันไม่ฟังเค้า เพราะเค้ามีความเชื่อต่างกับฉัน” หรือ “ฉันจะไม่ไปเจอเค้า เพราะเค้ามีความเชื่ออีกทางหนึ่ง” เป็นคนที่ยังติดอยู่ในโลกการเมืองของเมื่อวาน เป็นยุคที่ผ่านไปแล้ว แนวคิดแบบ พวกเค้า-พวกเรา ไม่ควรจะมีที่ยืนอีกต่อไป ในโลกปัจจุบัน ควรจะมีแต่คำว่า “คนไทยด้วยกัน”
"เราต้องมองไปในอนาคตข้างหน้า อนาคตที่จะเป็นยุคสมัยของคนที่ปัจจุบันนี้มีอายุ 15 ปี 20 ปี หรือ 30 ปี สิ่งสำคัญของทุกวันนี้ คือ ความยุติธรรมในสังคม ความเสมอภาคภายใต้กฏหมายเดียวกัน ความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงโอกาสที่จะทำชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้นได้ และมีโอกาสที่จะแสดงศักยภาพของตัวเอง โดยไม่เกี่ยวกับนามสกุล ฐานะทางการเงินของครอบครัว หรืออายุ เราต้องเชื่อว่า คนทุกคนเกิดมามีแต่ความดีอยู่ในตัว ซึ่งผมเองก็เชื่อแบบนั้นเช่นเดียวกัน"
โลกยุคใหม่ ต้องการให้พวกเราเรียนรู้ที่จะทำงานด้วยกันอย่างเป็นหนึ่งเดียว เป็นทีมเดียวกัน แม้ว่าเราอาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เราต้องร่วมกันให้คำนิยามการเมืองแบบใหม่ และทำลายการเมืองแบบเดิมที่แบ่งแยก นี่คือสิ่งที่ควรอยู่ในความคิดของพวกเรา และนี่คือสิ่งที่อยู่ในความคิดของผม และนี่คือสิ่งที่ผมเชื่อว่า ลึกๆ แล้วก็อยู่ในความคิดของคนไทยทุกคน สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เราต้องแบ่งปันความคิดซึ่งกันและกันได้ และเราต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงมุมมองและสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา เพื่อช่วยประเทศ
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า อยากจะขอชื่นชมสื่อทุกคนด้วยความเคารพ สำหรับการสละเวลาพบตน นำเสนอความคิดและคำแนะนำเพื่ออนาคตของประเทศ ทุกสื่อได้เตรียมข้อมูลและการนำเสนอ ที่ใช้ความรู้ และประสบการณ์ คิดมาเป็นอย่างดี และเป็นคำแนะนำที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง โดยไม่สนใจว่าใครจะมีฟากฝั่งทางการเมืองแบบไหน และที่สำคัญ ข้อเสนอแนะที่สื่อได้นำเสนอตน ไม่ใช่เพราะอยากช่วยตน หรืออยากช่วยรัฐบาล แต่ทุกสื่อได้ให้คำแนะนำกับตน เพราะต้องการช่วยประเทศ และเพื่อนร่วมชาติ ตนสัมผัสได้ว่า คำแนะนำของสื่อ ออกมาจากหัวใจที่มีความเป็นห่วงประเทศ และเป็นหัวใจที่มีความรักต่อคนอีกกว่า 70 ล้านคน ที่เรียกแผ่นดินนี้ว่า “ประเทศของเรา”
ย้ำปฏิเสธความเกลียดชังการเมืองแบบเก่าแพร่โรคแตกแยก
"นี่คือจิตวิญญาณที่ทำให้ประเทศของเรายิ่งใหญ่ และทำให้เราอยู่บนเส้นทางที่จะก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ ยิ่งขึ้นได้ – ไม่ใช่จิตวิญญาณแบบที่จะนำไปสู่การลุกขึ้นมาตะโกนด่าทอ หรือต่อสู้กัน เส้นทางของคนที่พูดว่า “ฉันไม่ฟังเค้า เพราะเค้าไม่เห็นด้วยกับฉัน” เป็นเส้นทางที่จะพาประเทศไปสู่ความมืดมน จิตวิญญาณของความเป็นไทย จะพูดว่า แม้เราจะมีความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่เราให้โอกาส เราต้องฟัง และประนีประนอมกัน และเราต้องลงมือทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จ ตอนนี้ เราต้องมุ่งความสนใจของเราไปที่ความอยู่รอดของปากท้องของคนหลายสิบล้านคน เราต้องทำงานร่วมกัน ช่วยกันดันเศรษฐกิจให้พลิกฟื้นกลับมาให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก แล้วหลังจากนั้นเราค่อยจัดการแก้ไขปัญหาในประเด็นอื่นๆ ด้วยกัน ต่อไป"
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า เรากำลังทำตามที่พูดว่า รวมไทยสร้างชาติ วันนี้ตนได้ให้คำแนะนำกับ ปรีดี ดาวฉาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ ให้ ปรีดี เชิญมันสมองชั้นยอดของประเทศเข้ามาพบกัน เพื่อพูดคุยมุมมองความคิดของแต่ละท่าน ในการบริหารจัดการสถานการณ์เศรษฐกิจที่ประเทศเรากำลังเผชิญอยู่ โดยท่านต่างๆ ที่จะเชิญเข้ามานั้น ควรจะมีคนที่เคยอยู่ในรัฐบาลอื่น หรือเป็นคนที่อาจจะมีแนวทางทางการเมืองที่แตกต่างกัน
"คณะรัฐมนตรีที่ต้องรวมไทยสร้างชาติ ซึ่งวันนี้ ผมขอพูดต่อหน้าประชาชนคนไทยทุกคนว่า กรุณาปฏิเสธความเกลียดชัง และการแบ่งแยกทางการเมือง ขอให้ปฏิเสธการเมืองแบบเก่า ที่แพร่กระจายเชื้อโรคของความแตกแยก ระหว่าง ความเชื่อที่แตกต่าง คนรุ่นใหม่-คนรุ่นเก่า คนรวย-คนจน หรือความแตกต่างอะไรก็ตามที่ถูกใส่เข้ามาในสังคมของเรา" พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า อนาคตเป็นของคนรุ่นใหม่ และอนาคตก็อยู่ในมือคนรุ่นใหม่ ให้คนรุ่นใหม่แสดงออกมาให้ทุกคนเห็นว่า เค้ามีพลังที่จะเดินหน้าประเทศ ไปในเส้นทางที่จะร่วมแรงร่วมใจกันทุกคนทุกฝ่าย ก้าวข้ามความคิดเห็นที่อาจจะแตกต่างกันบ้าง เพื่อช่วยแก้ปัญหาปากท้องในปัจจุบัน และก้าวไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น
"เราต้องอยู่เหนือการโต้เถียงกัน และเราต้องอยู่เหนือการเมือง เพราะเรามีสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมากรออยู่ตรงหน้า นั่นคือความอยู่รอดในการหาเลี้ยงชีวิตของคนนับล้านๆ ที่กำลังเดือดร้อนจากหายนะของโควิด"
ชูไทยจัดการโควิดดีสุดในโลก วอนทุกฝ่ายจับมือสร้างความเจริญ
นายกรัฐมนตรี ทิ้งท้ายว่า เราลดปัญหาของเราไปได้ ด้วยการไม่ปล่อยให้เกิดการล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่ตอนนี้เราต้องมุ่งไปที่ความอยู่รอดของปากท้อง เพราะเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก และเลวร้ายไปทั่วโลก แต่พวกเราต้องมีความหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราได้เห็นว่า การร่วมแรงร่วมใจกัน ลงมือทำงานด้วยกัน ได้ช่วยพวกเราให้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่จัดการกับโควิดได้ดีที่สุดในโลก และไม่มีการล้มตายของผู้คน ผมเชื่อว่า เราก็สามารถทำแบบเดียวกันนั้นได้ กับการจัดการวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งหนทางเดียว ก็คือการจับมือกัน และทำงานด้วยกัน เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศของเรา เพื่อความเจริญรุ่งเรือง เพื่อลูกหลานของเรา นั่นคือภารกิจที่สำคัญที่สุดของเราในตอนนี้