ไม่พบผลการค้นหา
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวสำคัญที่เป็นที่จับตาไปทั่วโลก คือ การที่ศาลแคนาดาให้ประกันตัว นางเมิ่งหว่านโจว ผู้บริหารระดับสูงของหัวเว่ย ซึ่งถูกจับกุมตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ที่สนามบินในนครแวนคูเวอร์ ศาลแคนาดาใช้เวลาพิจารณาการประกันตัวนานถึง 3 วัน และให้ประกันในวงเงิน 10 ล้านเหรียญแคนาดา

โดยมีเงื่อนไขว่านางเมิ่งต้องสวมกำไลเท้าที่มีสัญญาณติดตามตัวตลอดเวลา ทั้งนี้ ทางการแคนนาดาและสหรัฐฯ ต่างอ้ำอึ้งและปล่อยเวลาผ่านไปหลายวันหลังการจับกุมจึงได้มีการประกาศข้อกล่าวหา ว่าจับกุมนางเมิ่งในข้อหาละเมิดมาตรการคว่ำบาตรทางการค้าต่ออิหร่านโดยลักลอบทำการค้ากับอิหร่าน 

การจับกุมนางเมิ่งที่แคนาดาตามคำขอร้องของรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลสะเทือนอย่างใหญ่หลวง ทั้งต่อบริษัทในเครือหัวเว่ยและความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับจีน เพราะนางเมิ่งมีตำแหน่งเป็นถึงรองประธานและผู้บริหารสูงสุดด้านการเงิน(CFO) ของเครือบริษัทหัวเว่ย อีกทั้งยังเป็นลูกสาวของผู้ก่อตั้งบริษัทหัวเว่ย

หัวเว่ยเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติจีนที่เป็นกิจการด้านการสื่อสารและโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดของโลกในปัจจุบันนี้ ทำรายได้ในปี ค.ศ.2017 สูงถึง 9.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นบริษัทที่เป็นหัวหอกสำคัญของจีนในการขยายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของจีนในเวทีโลก 

นายเหริน เจิ้งเฟย บิดาของนางเมิ่ง เป็นผู้ก่อตั้งหัวเว่ยในปี ค.ศ.1987 แม้ว่าสื่อต่างประเทศหลายสำนักจะเล่าประวัติของเหรินอย่างชวนฝันว่าเขาสร้างฐานะจากยาจกจนกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีด้วยความวิริยะพากเพียร แต่อันที่จริงเหรินไม่เคยเป็นยาจก เขาเกิดในครอบครัวที่มีบิดาผู้นำระดับท้องถิ่นของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยม เขามีความสนใจด้านวิทยาศาสตร์อย่างมากและเลือกเรียนด้านวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยที่นครฉงชิ่ง จากนั้นได้เข้าทำงานเป็นนักวิจัยด้านการสื่อสารของกองทัพจีน ก่อนจะลาออกจากราชการในปี ค.ศ.1983 ไปทำกิจการผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยมียศทางทหาร แต่ความสามารถของเหรินทำให้เขาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในกองทัพ และมีเครือข่ายสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับนายทหารระดับสูงหลายราย นอกจากนี้ เหรินยังมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับบรรดาบุคคลระดับสูงในพรรคคอมมิวนิสต์ แม้แต่อดีตภรรยาของเขาซึ่งเป็นมารดาของนางเมิ่ง ก็ไม่ใช่สาวชาวบ้านธรรมดา แต่เป็นลูกสาวของอดีตรองผู้ว่าการมณฑลเสฉวน

ดังนั้น การจับกุมนางเมิ่ง จึงไม่ใช่เรื่องที่ชนชั้นนำในพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะสามารถเพิกเฉยได้

อนึ่ง นับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ สหรัฐฯ กับ จีน ทำสงครามการ��้ากันอย่างดุเดือด มีการเพิ่มกำแพงภาษีต่อกันแบบตอบโต้กันเดือนต่อเดือน โดยล่าสุดในเดือนกันยายน สหรัฐฯ ประกาศตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้าจีนรอบใหม่โดยเพิ่มภาษีจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 25 คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้เกิดผลกระทบอย่างหนักต่อสินค้าจีนกว่าหกพันรายการ ซึ่งจีนได้ตอบโต้ด้วยการตั้งกำแพงภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ เป็นมูลค่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยพุ่งเป้าไปที่สินค้าเกษตรที่เป็นฐานเสียงทางการเมืองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นอกจากนี้ จีนยังขู่ว่าจะดำเนินมาตรการตอบโต้อื่นๆ ตามมา

สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มิได้มีเพียงการใช้กำแพงภาษีเป็นอาวุธต่อสู้กันเท่านั้น แต่ยังมีการใช้คำพูดคำแถลงเป็นอาวุธด้วย กล่าวคือ ในเดือนพฤศจิกายน นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้แถลงว่านโยบาย “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (One Belt, One Road) ของจีนนั้น คือการหลอกลวงให้ประเทศกำลังพัฒนาที่ร่วมมือกับจีนในโครงการนี้ตกหลุม “กับดักการเป็นหนี้” ต่อจีนจนโงหัวไม่ขึ้น ต้องพึ่งจีนตลอดไป หลังจากการแถลงดังกล่าว ทางการจีนได้ออกมาตอบโต้อย่างเผ็ดร้อน ว่าสหรัฐฯ ก็ไม่ได้เสนอทางเลือกที่ดีกว่าที่จีนให้ และสหรัฐฯ ก็มีเป้าหมายเคลือบแฝง ดังนั้น สถานการณ์ความสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ตึงเครียดอย่างมาก

สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจโลก จนหลายประเทศผลักดันให้จีนกับสหรัฐฯ นั่งจับเข่าคุยกัน หรือเจรจากันดีๆ จึงนำไปสู่การเจรจาระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับประธานาธิบดีสีจิ้นผิง เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ที่กรุงบัวนอสไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า ทำให้หลายๆ ฝ่ายคาดการณ์ว่าสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ น่าจะคลี่คลายลงได้

อย่างไรก็ดี ในวันที่ 1 ธันวาคม วันเดียวกับการเจรจานั้นเอง ก็ได้มีการจับกุม นางเมิ่งเกิดขึ้น และทางการจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการควบคุมตัวอดีตนักการทูตแคนาดาในจีน

สื่อมวลชนหลายสำนักของจีนจึงวิพากษ์วิจารณ์ว่า การจับกุมนางเมิ่ง โดยไม่มีการแถลงข้อหาที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น น่าจะเป็นเพียงการเล่นเกมของสหรัฐฯ ที่ต้องการใช้นางเมิ่งเป็นตัวประกันในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เพื่อต่อรองกับจีน

แต่จะจริงตามที่สื่อมวลชนจีนวิพากษ์วิจารณ์หรือไม่ ก็ต้องติดตามต่อไป