นั่นคือคำพูดของเบนจา อะปัญ นักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมาชิกแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม หลังเดินออกจากห้องพิจารณาคดีที่ 807 ศาลอาญารัชดา แม้จะมีน้ำตาไหลมาอาบแก้ม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกว่าครึ่งชั่วโมงหน้าห้องพิจารณาคดีนั้น เธอได้สื่อสารให้เห็นแล้วว่า “นั่นไม่ใช่น้ำตาของผู้แพ้ แต่มันเป็นน้ำตาของนักสู้”
ย้อนกลับไปทบทวนกันอีกครั้ง ก่อนที่ทุกอย่างจะเดินมาถึงวันนี้ นักศึกษาสาววัย 22 ปี ถูกเปลี่ยนสถานะให้กลายเป็นผู้ต้องขังคดีการเมืองจากการถูกฝากขังในชั้นสอบสวนจากคดี 112 กรณีการอ่านแถลงการณ์ของแนวร่วมธรรมศาสตร์ในม็อบ 10 ส.ค. 2564 เธอถูกจับกุมตามหมายจับของ สน.ทองหล่อ หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการรายงานตัวรับทราบข้อกล่าวหาในคดีอื่นที่ สน.ลุมพินี ตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2564 ศาลอนุญาตให้ฝากขัง และไม่อนุญาตให้ประกันตัว แม้ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 ต.ค. ในการยื่นคำร้องขอฝากขังผัดที่ 3 ซึ่งพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยานเสร็จสิ้นแล้ว และไม่ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการประกันตัว แต่ศาลก็ยังพิจารณาไม่ให้ประกันตัวเบนจา โดยให้เหตุผลว่า
“พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าคดีนี้ผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่ามีการกล่าวปราศรัยด้วยถ้อยคำที่ไม่บังควร ประกอบกับผู้ต้องหาเคยฝ่าฝืนเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราว ว่าจะไม่กระทำการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง กรณีมีเหตุเชื่อว่าหากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวแล้ว ผู้ต้องหาจะก่อให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายประการอื่น กรณีจึงไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ยกคำร้อง” คำสั่งลงนามโดย เนตรดาว มโนธรรมกิจ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้
อย่างไรก็ตามวันนี้ เบนจา ถูกเบิกตัวจากทัณฑสถานหญิงมายังศาลอาญารัชดา เพื่อไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาล จากกรณีการชุมนุมหน้าศาลอาญา เพื่อเรียกร้องสิทธิประกันตัวให้กับผู้ต้องหาคดีการเมือง เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2564 โดยศาลมีคำสั่งให้จำคุกเธอเป็นเวลา 6 เดือน ศาลให้เหตุผลว่า แม้ผู้ถูกกล่าวหารับข้อเท็จจริง แต่กลับต่อสู้ว่าไม่ผิด ไม่สำนึกในการกระทำผิด ส่งเสียงดัง ไม่สงบเรียบร้อย ก่อความรำคาญ แถลงการณ์ที่มีเนื้อหาประณาม ใส่ร้าย ดูหมิ่นตุลาการ เข้าข่ายไม่ปฏิบัติตาม รัฐธรรมนูญ ม.50(3)(6) และละเมิดข้อกำหนดศาลอาญาข้อ 1 และ 6
หลังการตัดสินลงทัณฑ์เสร็จสิ้น ทนายความเดินออกมานอกห้องพิจารณาคดี “6 เดือนเต็ม” คือคำพูดแรกที่เขาสื่อสาร เพียงเสี้ยววินาที เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์สองคนเดินคุมตัวเบนจาออกจากห้องตามมา เธอสวมชุดนักโทษสีน้ำตาล ร่างกายดูผอมลงเล็กน้อย ส่วมแวนตาหนาเตอะ ดวงตาแดงก่ำ มีน้ำตาไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง เมื่อเดินพ้นจากห้องพิจารณาคดีได้เพียง 3 ก้าว เธอหยุดยืนกอดอกก็จะพูดประโยคที่ว่า “ถ้าคิดว่าเป็นเจ้าชีวิตหนูคุณก็ลากหนูไปเลย แต่หนูจะไม่เดิน”
เธอยืนยัน และยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ขณะที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์พยายามเข้าไปพูดคุยเพื่อขอให้เธอยินยอมเดินลงไปที่คุกใต้ถุนศาล เพื่อรอนำตัวกลับไปยังเรือนจำ ผู้คุมคนหนึ่งพูดกลับเธอว่า “ไปเถอะกลับบ้าน” เธอตอบโต้ทันทีว่า “คุณพูดได้อย่างไรว่าคุกเป็นบ้านของหนู”
เบนจาพูดหลายสิ่งหลายอย่างที่อึดอัดคับข้องอยู่ในใจกับเพื่อนของเธอที่อยู่รอให้กำลังใจหน้าห้องพิจารณาคดี ใจความทั้งหมดคือ การแสดงความเป็นห่วงเพื่อนๆ อีกหลายคนทั้งที่อยู่ภายในเรือนจำ และนอกเรือนจำ เธอเห็นว่าสิ่งที่หลายคนทำไปเป็นเพียงความหวังดีต่อประเทศ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมคนก่อรัฐประหารอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ทำไมยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ ในขณะที่ผู้ที่ออกมาต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมถึงถูกกระทำเหมือนไม่ใช่มนุษย์ และการถูกคุมตัวอยู่ในเรือนจำยิ่งทำให้เธอเจ็บปวด ไม่ใช่เพียงเพราะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก แต่เป็นความห่วงใยคนอื่นๆ โดยที่เธอไม่สามารถช่วยอะไรใครได้เลย
ศาล ราชทัณฑ์ เอาอิสรภาพไปจากเธอ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า กระบวนการยุติธรรม และกฎหมาย แต่เธอยังยืนยันว่า เธอเป็นเจ้าของชีวิตของตัวเอง แม้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะบอกกับเธอว่า นี่ไม่ใช่การต่อสู้ ถ้าจะสู้ก็ให้ไปสู้ในชั้นศาล และตอนนี้กระบวนการเสร็จสิ้นแล้ว หน้าที่ของเธอก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับ
เบนจา กล่าวยืนยันอีกครั้งว่า “นี่คือการต่อสู้ของหนู และหนูไม่ได้ทำอะไรเลย หนูแค่ไม่เดิน คุณจะทำอะไรก็ทำ” “คุณบอกให้สู้ในกระบวนการยุติธรรม คุณเชื่อเหรอว่ามันเป็นธรรมจริงๆ แล้วคุณก็มาพูดทีหลังว่าทำตามหน้าที่”
บรรยากาศหน้าพิจารณาคดีนิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการพาตัวเธอไปยังเรือนจำ กำลังคิดอะไรอยู่ แต่บางคนมีดวงตาแดงก่ำไม่ต่างกัน เพียงแต่ยังไม่มีน้ำตาไหลออกมาให้เห็น ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็ประสานให้นำรถเข็นเข้ามาหน้าห้องพิจารณาคดี พวกเขาร่วมกันอุ้มเธอนั่งบนรถเข็น และพาตัวเธอไป