วันที่ 31 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กระทรวงสาธารณสุขเตรียมผลักดันกฎกระทรวงฯ กำหนดให้ ยาบ้าไม่เกิน 10 เม็ด เป็นผู้เสพ เข้าสู่กระบวนการบำบัดว่า เรื่องนี้ต้องดูปริมาณสารบริสุทธิ์ในเม็ดยาเสพติด ซึ่งเป็นการกำกับดูแลของคณะกรรมการตามประมวลกฏหมายยาเสพติดโดยมี 4 หน่วยงาน ได้แก่ หน่วยงานด้านการปกครอง ตำรวจ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และกระทรวงสาธารณสุข ที่จะสรุปผลว่า ครอบครองกี่เม็ดจะไม่มีความผิด ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาเพื่อออกคำสั่ง
สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า เราต้องดูจากพฤติกรรมของทั้งผู้เสพ และผู้ค้า รวมถึงดูปริมาณสารเสพติดในเม็ดยา และโดยปกติใน 1 เม็ดยาจะมีปริมาณสาร 10-20 มิลลิกรัม และตามปกติแล้วหากเสพถึง 50 มิลลิกรัม จะมีอาการหลอน หรือเป็นบ้า แต่หากเสพถึง 120 มิลลิกรัมจะเสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม หากดูตามพฤติกรรมแล้ว โดยปกติผู้เสพจะพกยาเสพติดประมาณ 1-3 เม็ด แต่ผู้ขายจะพกในปริมาณมาก หรือเป็นแพ็คเพื่อจำหน่าย หากพฤติกรรมที่ส่อจะเป็นผู้ขาย แม้จะมี 2-3 เม็ดก็ต้องรับโทษ แต่ต้องให้โอกาสของผู้เสพเพื่อนำมาบำบัดรักษาทั้งคู่
ส่วนการบำบัดผู้เสพนั้นจะมีการสร้างโรงเรียนวิวัฒน์พลเมืองเหมือนสมัยรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่นั้น สมศักดิ์ ระบุว่า การบำบัดมีวิธีการที่หลากหลาย และตอนนี้ก็มีงบบูรณาการกว่า 8,000 ล้านบาทที่จะให้แต่ละหน่วยงานมามีส่วนร่วม
สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในอดีตการปราบปรามยาเสพติกจะมี 5 มาตรการ คือ 1.ป้องกัน 2.ปราบปราม 3.บำบัดรักษา 4.บูรณาการงบประมาณ และ 5.ความร่วมมือระหว่างประเทศ แต่ตอนนี้ได้แก้กฎหมายยาเสพติดใหม่ เพื่อเพิ่มมาตรการที่ 6 คือ ยึดอายัดทรัพย์ของเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด
ทั้งนี้ สมศักดิ์ ยังเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 ต.ค. ที่ผ่านมา ตนได้เข้าพบ อโนชา ชีวิตโสภณ ประธานศาลฎีกาเนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ และได้หารือในการแยกคดียาเสพติด เป็นศาลอุทธรณ์คดียาเสพติด พร้อมกันนั้นในส่วนของรัฐบาลก็ยืนยันจะสนับสนุนกฎหมายในชั้นอุทธรณ์ต่อไป