บริษัท แอสตร้าเซเนก้า (AstraZeneca) เปิดเผยผลการทดลองเมื่อกลุ่มตัวอย่างได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 สามารถเพิ่มการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์เบตา เดลตา อัลฟา และแกมมา ในขณะเดียวกันยังแสดงถึงการตอบสนองของแอนติบอดีที่เพิ่มขึ้นต่อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนอีกด้วย
ผลการทดลองที่เปิดเผยโดยบริษัท แอสตร้าฯ ระบุว่า ผลลัพธ์เชิงบวกจากการวิเคราะห์เบื้องต้นของการทดลองเรื่องความปลอดภัยและการสร้างภูมิคุ้มกัน (D7220C00001) แสดงให้เห็นว่าเมื่อได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า (ChAdOx1-S [Recombinant]) เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 สามารถเพิ่มการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์เบตา เดลตา อัลฟา และแกมมา ในขณะเดียวกันอีกการวิเคราะห์หนึ่งที่ใช้ตัวอย่างการทดลองเดียวกันนี้ แสดงถึงการตอบสนองของแอนติบอดีที่เพิ่มขึ้นต่อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน โดยการทดลองนี้สังเกตผลลัพธ์ในผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า หรือวัคซีนmRNA มาก่อน
ข้อมูลจากอีกการทดลองหนึ่งซึ่งเป็นการทดลองในระยะที่ 4 รายงานในระบบจัดเก็บเอกสารวิชาการก่อนการตีพิมพ์ออนไลน์ The Lancet, ชี้ให้เห็นว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 นั้น สามารถเพิ่มระดับแอนติบอดีได้เป็นอย่างมาก หลังจากที่ได้รับวัคซีน CoronaVac (Sinovac Biotech) มาก่อน
ข้อมูลเหล่านี้เพิ่มหลักฐานในการสนับสนุนว่าสามารถใช้วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงการได้รับวัคซีนก่อนหน้า โดยแอสตร้าเซนเนก้า กำลังส่งข้อมูลเพิ่มเติมเหล่านี้ไปยังหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ในสถานการณ์ที่มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการใช้วัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3
เซอร์ เมเน แพนกาลอส รองประธานบริหารฝ่ายวิจัยและพัฒนาด้านยาชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceuticals) ของแอสตร้าเซนเนก้า กล่าวว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าช่วยปกป้องผู้คนหลายร้อยล้านคนทั่วโลกจากโรคโควิด-19 และข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าวัคซีนดังกล่าวสามารถเป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ซึ่งรวมถึงการใช้กับผู้ที่เคยได้รับวัคซีนประเภทอื่นมาก่อน เนื่องด้วยความเร่งด่วนอย่างต่อเนื่องของโรคระบาด และวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า สามารถเพิ่มการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนได้ เราจะดำเนินการยื่นขอทะเบียนอนุญาตทั่วโลกเพื่อนำวัคซีนตัวนี้มาใช้เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3
ศาสตราจารย์ เซอร์ แอนดริว เจ พอลลาร์ด ผู้อำนวยการและหัวหน้าฝ่ายตรวจสอบ Oxford Vaccine Group มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวว่า ผลการศึกษาที่สำคัญนี้แสดงให้เห็นว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 หลังจากที่ได้รับวัคซีน 2 เข็มแรกของแอสตร้าเซนเนก้า หรือวัคซีน mRNA หรือวัคซีนเชื้อตาย ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดีเพื่อสู้กับโรคโควิด-19
"วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ ออกซ์ฟอร์ด-แอสตร้าเซนเนก้านั้นเหมาะที่จะเป็นทางเลือกที่จะเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับประชากรของหลายๆ ประเทศที่กำลังพิจารณาโปรแกรมการฉีดวัคซีนกระตุ้น เพื่อเป็นการเพิ่มป้องกันหลังจากที่ได้รับหลังได้รับวัคซีนมาแล้ว 2 เข็ม"
สำหรับการทดลองเรื่องความปลอดภัย และการสร้างภูมิคุ้มกัน D7220C00001 แสดงให้เห็นว่าวัคซีนโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้านั้นมีผลข้างเคียงที่ยอมรับ ได้รับการวิเคราะห์เพิ่มเติมจากการทดลองนี้ คาดว่าจะเปิดเผยได้ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2565
จากการศึกษาก่อนหน้าสนับสนุนว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ได้ทั้งหลังการใช้วัคซีนชนิดเดียวกันและต่างชนิดกัน การวิเคราะห์ย่อยของผลการทดลอง COV001 และ COV002 แสดงให้เห็นว่าการใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 หลังจากการได้รับวัคซีนครบสองเข็มไปแล้ว 6 เดือน สามารถกระตุ้นระดับแอนติบอดีและรักษาการตอบสนองของทีเซลล์ให้อยู่ในระดับคงที่ 2 การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่ 3 ยังสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์อัลฟา เบตา และเดลตา ได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการใช้วัคซีน 2 เข็ม การทดลอง COV-BOOST แสดงให้เห็นว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า เป็นวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 จะเพิ่มการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมทั้งต่อสายพันธุ์เดลตา และสายพันธุ์ดั้งเดิม ในผู้ที่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า หรือ Pfizer BioNtech (BNT162b2)3 มาก่อน