ไม่พบผลการค้นหา
"แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล" ออกแถลงการณ์เนื่องใน "วันสูญหายสากล" ทวงร่างพ.ร.บ.ป้องกันซ้อมทรมาน-อุ้มหายหลังสนช. เตะถ่วง ล่าสุด ครม. ชงกลับมายังรัฐสภา

แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล เผยแพร่แถลงการณ์ เนื่องในโอกาสวันผู้สูญหายสากลเรียกร้องให้รัฐบาลไทยต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อออกกฎหมายแก้ปัญหาอาชญากรรมร้ายแรงจากการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย หลังมีการแก้ไขเนื้อหาร่างกฎหมายดังกล่าว ให้สอดคล้องกับพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศของไทยแล้ว   

น.ส.ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทย กล่าวว่า การเพิกเฉยใดๆย่อมหมายถึงประเทศไทย อนุญาตให้เกิดช่องโหว่ที่น่าตกใจในระบบกฎหมายของตนซึ่งจะส่งผลให้พลเมืองไทยอาจตกเป็นเหยื่อการทรมานหรือการบังคับบุคคลให้สูญหาย โดยทางการไม่มีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ 

วันนี้ในแต่ละปีมีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ เพราะหมายถึงการเฝ้ารอทุกวันของครอบครัวจำนวนมากเพื่อให้ทราบความจริงและชะตากรรมของญาติผู้สูญหายไปทางการไทยต้องทำให้พวกเขามีความหวังว่าจะเกิดความยุติธรรมยุติการใช้แนวทางต่างๆ เพื่อสร้างความล่าช้าและปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่จะกำหนดให้มีกฎหมายเอาผิดทางอาญากับการบังคับบุคคลให้สูญหาย   

ทางการไทยลงนามใน อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance) เมื่อเดือนม.ค. 2555 อย่างไรก็ดี มีความล่าช้าอย่างต่อเนื่องในแง่ความพยายามที่จะให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาดังกล่าวและการออกกฎหมายในประเทศที่สอดคล้องกัน  

ในปี2560 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) จากการแต่งตั้งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ส่ง ร่าง พ.ร.บ.กลับไปให้คณะรัฐมนตรีเพื่อการปรึกษาหารือเพิ่มเติมและรัฐบาลแจ้งต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในปีนั้นว่าจะระงับการพิจารณาร่างพรบ.ไว้ก่อนโดยจะจัดให้มีการปรึกษาหารือกับสาธารณะ ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้ส่งร่างฉบับใหม่กลับไปให้รัฐสภาเมื่อวันที่18 ก.ค. 2562  

การบังคับบุคคลให้สูญหาย ซึ่งเกิดขึ้นกับนักเคลื่อนไหวคนสำคัญหลายท่าน และยังไม่ได้รับการคลี่คลายเน้นให้เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิบัติสมชาย นีละไพจิตรทนายความของเหยื่อการทรมาน ได้ถูกลักพาตัวที่กรุงเทพฯเมื่อปี2547 และหายตัวไป   

พอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ นักเคลื่อนไหวอีกคนหนึ่งหายตัวไปเมื่อวันที่17 เม.ย. 2557 หลังถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี โดยในช่วงเวลาดังกล่าวบิลลี่อยู่ระหว่างประสานงานกับชาวบ้านชาวกะเหรี่ยงและนักเคลื่อนไหวเพื่อฟ้องคดีกับเจ้าหน้าที่อุทยานซึ่งจงใจเผาทำลายบ้านเรือนไร่นา และทรัพย์สินอื่นๆของพวกเขา  

เชื่อว่าในปัจจุบันมีกรณีผู้สูญหาย86 กรณีซึ่งผู้ตกเป็นเหยื่อมีทั้งนักสหภาพแรงงานและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนผู้ประท้วงและผู้ต้องสงสัยในคดีความมั่นคง ซึ่งล้วนแต่เป็นการบังคับบุคคลให้สูญหายที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลายในประเทศไทยโดยมีการส่งข้อมูลดังกล่าวให้กับคณะทำงานแห่งสหประชาชาติว่า ด้วยการบังคับบุคคลให้สูญหายและการสูญหายโดยไม่สมัครใจตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงกว่านี้กฎหมายความมั่นคงและกฎหมายที่ออกโดยรัฐบาลอื่นๆและนำมาใช้เมื่อเร็วๆนี้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการควบคุมตัวบุคคลในสถานที่ควบคุมตัวอย่างไม่เป็นทางการโดยไม่มีข้อหาหรือไม่ต้องเข้ารับการไต่สวน และมักไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอกทำให้เกิดความเสี่ยงอย่างแท้จริงที่บุคคลที่ถูกควบคุมตัวจะตกเป็นผู้สูญหาย   

การสอบสวนของทางการยังไม่สามารถหักล้างข้อสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีส่วนร่วมในการสูญหาย การลักพาตัวและความตายของนักเคลื่อนไหวชาวไทยประมาณแปดคนซึ่งลี้ภัยไปอยู่ในลาวโดยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้วรวมถึงปี2559 และ2560  

“โศกนาฎกรรมการหายตัวไปเหล่านี้รวมทั้งความล้มเหลวของรัฐบาลในการค้นหาความจริงและคืนความยุติธรรมแก่ครอบครัวผู้สูญหายทำให้เกิดรอยด่างพร้อยมากขึ้นต่อชื่อเสียงของประเทศไทยการสูญหายหลายกรณีที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลายทำให้เกิดข้อสงสัยต่อเจตจำนงของผู้นำการเมืองไทยที่จะปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาเพื่อให้พลเมืองของตนปลอดภัย”ปิยนุชกล่าว 

ประเทศไทยมีหน้าที่ปฏิบัติตามพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศรวมทั้งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน (CAT) ซึ่งเราได้ให้ภาคยานุวัติแล้ว โดยต้องสอบสวนดำเนินคดีลงโทษและจัดให้มีการเยียวยาและชดเชยต่ออาชญากรรมเนื่องจากการทรมานการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่นๆและการบังคับบุคคลให้สูญหาย