เหริน เจิ้งเฟ่ย ผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีสื่อสารระดับโลกอย่างหัวเว่ย กล่าวกับ วอลล์สตรีทเจอร์นัล ว่า ส่วนตัวเขารักประเทศจีนและสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ทางรัฐบาลจีนไม่เคยสอบถามและขอข้อมูลของลูกค้าหรือผู้ที่เป็นหุ้นส่วนกับทางหัวเว่ย
"ผมจะไม่ทำเรื่องที่จะเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของลูกค้าของหัวเว่ยและตัวเอง และทางบริษัทหัวเว่ยจะไม่ตอบสนองกับคำร้องขอดังกล่าวด้วยเช่นกัน"
เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า จีนอาจจะใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ยเป็นเครื่องมือในการสอดแนมสหรัฐฯ ขณะที่รัฐบาลออสเตรเลียและนิวซีแลนดืต่างมีคำสั่งระงับการลงทุนเทคโนโลยี 5G ของหัวเว่ยในประเทศตนเองเช่นกัน ซึ่งนายเหริน ยืนยันว่า จีนไม่มีกฎหมายที่เรียกร้องให้บริษัทต่างๆ ติดตั้งอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังที่อื่นๆ ได้ ซึ่งอาจถูกใช้สำหรับการสอดแนม
สำหรับเรื่องความตึงเครียดระหว่างหัวเว่ยกับสหรัฐฯ นายเหริน กล่าวว่า หัวเว่ยเปรียบเสมือนงาเม็ดเล็กๆ ที่ติดอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างสองมหาอำนาจ นอกจากนี้นายเหรินยังระบุว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่กล้าจะลดภาษีในการทำธุรกิจเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ แต่สิ่งสำคัญการกระทำดังกล่าวควรปฏิบัติให้เท่าเทียมกันทุกประเทศ และทางบริษัทหัวเว่ยยินดีที่จะเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ
ทั้งนี้เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาแคนาดาจับกุมตัว นางเมิ่ง หว่านโจว ประธานการเงินของบริษัทหัวเว่ย ผู้เป็นลูกสาวของนายเหริน ตามคำร้องขอของทางการสหรัฐฯ พร้อมตั้งข้อหามีพฤติกรรมฉ้อโกง ด้วยการตั้งบริษัทสกายคอม ซึ่งเป็นบริษัทลูกของหัวเว่ย ขึ้นมาบังหน้าเพื่อทำธุรกิจกับอิหร่านในช่วงปี 2009 ถึงปี 2014 ซึ่งเป็นการละเมิดมติคว่ำบาตรอิหร่านของสหประชาชาติ
ปัจจุบันหัวเว่ยเป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านการสื่อสารจากจีนที่มียอดขายสมาร์ทโฟนแซงหน้าแอปเปิลและยังลงทุนพัฒนาอุปกรณ์เครือยข่ายการสื่อสาร โดยมีการลงทุนในประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมทั้งไทยด้วย ซึ่งหัวเว่ยเองก็มีคู่แข่งสำคัญคือโนเกียและอิริคสันจากยุโรป