พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการข่มขืนและกระทำชำเราและล่วงละเมิดทางเพศ กล่าวหลังจากสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบรายงานของคณะกรรมาธิการโดยไม่มีการลงมติ โดยมีเนื้อหาสาระตั้งแต่กระบวนการป้องกันแรกเริ่ม ไปจนถึงการลงโทษผู้กระทำความผิด ซึ่งมีการหารือกันในเบื้องต้นตั้งแต่ชั้นคณะกรรมาธิการ ว่าที่ผ่านมาโทษการข่มขืนสูงที่สุดคือการประหารชีวิต แต่การกระทำความผิดคดีประเภทนี้ยังไม่สิ้นสุด จึงมีการถกเถียงกัน หาข้อมูลการว่าต่างประเทศมีการลงโทษอย่างไรบ้าง เช่น การประหารชีวิต หรือการบำบัดฟื้นฟูด้านต่างๆ รวมไปถึงการฉีดฮอร์โมนให้ฝ่อ แต่ไม่ได้ให้ฝ่อถาวร แต่เป็นการใช้ฮอร์โมนใช้ระงับอารมณ์ทางเพศเพียงชั่วคราวในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นทางเลือกโดยการยินยอมจากผู้กระทำความผิด โดยเป็นการฉีดหลังจากพ้นโทษทุก 3 เดือน สำหรับกรณีที่มีความเสี่ยงว่าจะกระทำความผิดซ้ำ แต่ก็มีประเด็นเรื่องงบประมาณที่สูง
ส่วนการกินยาหรือผลไม้เพื่อต้านทานการฝ่อ พัชรินทร์ กล่าวว่า แพทย์ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมาธิการยังไม่ได้ให้ความเห็นกรณีนี้ แต่กรณีศึกษาในต่างประเทศก็ไม่พบว่ามีกรณีการกินผลไม้หรือยาที่ต่อต้านการฝ่อได้
พัชรินทร์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีการเสนอให้ลงทะเบียนดีเอ็นเอ และระบบติดตามผู้กระทำความผิด ในกลุ่มเสี่ยงที่จะทำความผิดอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสิทธิมนุษยชนของผู้กระทำความผิดด้วย แต่ก็อยากให้คำนึงถึงสิทธิของคนที่อยู่ในสังคมอย่างปลอดภัยเช่นกัน ซึ่งสาระสำคัญทั้งหมด ไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะการป้องกันความปลอดภัยของเพศหญิงเท่านั้น แต่รวมถึงทุกเพศ
พัชรินทร์ กล่าวว่า รายงานของคณะกรรมาธิการเป็นมติที่เห็นด้วยทั้งหมด ไม่มีผู้สงวนข้อสังเกตที่ต่างออกไป และจะส่งไปยังรัฐบาลเพื่อไปปรับใช้ โดยมีข้อเสนอว่าการศึกษารายละเอียด จะต้องให้กระทรวงยุติธรรมและกระทรวงสาธารณสุขศึกษาอีกทีหนึ่ง และเมื่อรัฐบาลนำข้อสังเกตไปดำเนินการ ขอให้มารายงานความคืบหน้าให้สภาฯ ทราบอีกครั้งหนึ่ง แต่เบื้องต้นไม่มีการกำหนดกรอบระยะเวลาเอาไว้ โดยตนเองจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด