ไม่พบผลการค้นหา
รัฐบาลเอธิปโอเปียแถลงกองทัพพยายามทำรัฐประหารต่อต้านรัฐบาลในทางตอนเหนือของเมืองหลวง ขณะที่เจ้าหน้าที่บางส่วนถูกยิงเสียชีวิตในเหตุการณ์ความไม่สงบ

นายเนกัสซู ติลาฮัน โฆษกประจำตัวของนายกรัฐมนตรีอาบีย์ อาเหม็ดของเอธิโอเปียกล่าวว่า กลุ่มทหารรับจ้างที่ถูกจัดตั้งได้ทำรัฐประหารเพื่อต่อต้านรัฐบาล เหตุเกิดในเมืองบาฮิร์ ดาร์ เมืองหลักของอัมฮารา ทางตอนเหนือของอาดิส อบาบา เมืองหลวงของเอธิโอเปีย แต่ไม่ประสบผลสำเร็จในคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา (22 มิ.ย.)

ทางรัฐบาลยังกล่าวว่า ทางการได้ทำการจับกุมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่มีพยายามทำรัฐประหารนายอัมบาชิว เมคอนเนน ผู้ว่าการส่วนภูมิภาคอัมฮารา ขณะที่เจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งถูกยิงเสียชีวิต

อย่างไรก็ตามการทำรัฐประหารในครั้งนี้ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่ามีใครอยู่เบื้องหลัง เนื่องจากยังไม่มีกลุ่มไหนออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำในครั้งนี้

แถลงการณ์ของพรรคฝ่ายรัฐบาลในเมืองอัมฮาราระบุว่า 'อดีตหัวหน้าหน่วยดูแลความสงบ ซึ่งเป็นอดีตนักโทษการเมืองและถูกปล่อยตัวหลังจากที่นายอาไบเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความรุนแรงในครั้งนี้'

ทางด้านประชาชนผู้อยู่อาศัยในเมืองต่างระบุว่า ได้ยินเสียงการปะทะกันเริ่มตั้งแต่ช่วงเย็นของวันเสาร์ และเมื่อเวลาประมาณ 4 ทุ่มได้ยินเสียงการปะทะกันอย่างน้อยถึง 4 ชั่วโมง ในครั้งแรกประชาชนต่างคิดว่าเป็นการปะทะปกติ แต่หลังจากนั้นได้ยินเสียงการยิงปืนที่หนักขึ้น ทั้งนี้การคมนาคมขนส่วงต่างๆภายในเมืองบาฮิร์ ดาร์ เมืองหลังของได้หยุดทำการ รวมไปถึงระบบอินเตอร์เน็ตถูกตัดขาดและมีการยกเลิกรายการทางโทรทัศน์ทั้งหมดของวันอาทิตย์ด้วยเช่นกัน

นับตั้งแต่การเข้ารับตำแหน่งนายรัฐมนตรีเอธิโอเปียของนายอาบีย์ อาเหม็ดเมื่อปีที่ผ่านมาได้มีนโยบายปฏิรูปการเมือง โดยออกคำสั่งให้ปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมด รวมไปถึงการยกเลิกการแบนพรรคการเมืองต่างๆ และมีการตำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐด้วยข้อกล่าวหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน

เอธิโอเปีย มีประชากรประมาณ 100 ล้านคน แต่ในปีที่ผ่านมาองค์การสหประชาชาติระบุว่ามีชาวเอธิโอเปียกว่า 2.4 ล้านคนที่ต้องอพยพย้ายถิ่นจากความรุนแรงทางด้านเชื้อชาติที่กลับมาร้ายแรงอีกครั้ง 

ทั้งนี้ หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เอธิโอเปียจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า ซึ่งฝ่ายต่อต้านรัฐบาลหลายกลุ่มเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งตามกำหนดเวลาแม้ว่าจะมีสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองก็ตาม

ที่มา BBC / Reuters