ในช่วงเกือบเที่ยงคืนวันที่ 18 ตุลาคม ตามเวลาประเทศชิลี รัฐบาลชิลีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงซานติอาโกแล้ว และแต่งตั้งพลตรีฆาเวียร์ อิตูร์เรียกา เดล กัมโป เป็นหัวหน้ากองกำลังป้องกันชาติ หลังการประท้วงการขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินบานปลายในกรุง
การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งอาจมีผลถึง 15 วันนี้ เปิดทางให้รัฐบาลจำกัดสิทธิในการชุมนุม และได้มีการส่งทหารลงสู่ถนนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เหตุแผ่นดินไหวในปี 2010 ทว่าพลตรีอิตูร์เรียกา กล่าวว่าจะยังไม่มีการบังคับใช้เคอร์ฟิวในตอนนี้
ประธานาธิบดีเซบาสเตียน ปิเญรา กล่าวว่าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป้าหมายคือการรักษาความสงบเรียบร้อย รวมถึงความปลอดภัยของทรัพย์สินของรัฐและเอกชน
ชนวนเหตุของการประท้วงครั้งนี้เริ่มจากการประกาศขึ้นราคาค่ารถไฟใต้ดินในวันที่ 6 ตุลาคม ซึ่งทำให้ซานติเอโกกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่ค่ารถไฟฟ้าแพงที่สุดในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา โดยขึ้นจาก 800 เปโซชิลี (ราว 34.10 บาท) เป็น 830 เปโซชิลี (ราว 35.40 บาท) สำหรับชั่วโมงเร่งด่วน โดยชี้ว่าเป็นเพราะราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น และค่าเงินเปโซชิลีที่อ่อนลง หลังจากก่อนหน้านี้ก็ขึ้นมาแล้ว 20 เปโซชิลี (ราว 85 สตางค์) ในเดือนมกราคม นอกจากนี้ค่ารถโดยสารประจำทางก็มีการขึ้นราคาด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ราคาค่ารถไฟใต้ดินเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2007 ศึ่วมีราคาอยู่ที่ 420 เปโซชิลี (ราว 17.90 บาท)
จากการดื้อเงียบสู่เหตุจลาจล
หลังจากมีการประกาศขึ้นราคาครั้งล่าสุดนี้ ชาวชิลีได้มีการประท้วงเงียบด้วยการลอบเข้ารถไฟใต้ดินโดยไม่ซื้อตั๋ว โดยสำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่าทางการรถไฟใต้ดิน ชี้ว่าในช่วง 11 วันที่ผ่านมามีเหตุนักเรียนนักศึกษาเลี่ยงค่าโดยสารด้วยการกระโดดข้ามและแทรกตัวผ่านรั้วกั้นทางเข้าสถานีกว่า 200 ครั้ง
กระแสต่อต้านการขึ้นค่าโดยสารในชั่วโมงเร่งเด่วนยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้น หลังจากฆวน อันเดรส ฟอนตีน รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ บอกให้ผู้โดยสารตื่นเช้าขึ้นมาใช้รถไฟในช่วง 6 ถึง 7 โมงแทน
การชุมนุมประท้วงเริ่มต้นเมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้และชุมนุมติดต่อกันมา ก่อนหน้านี้ในวันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม มีผู้ถูกจับ 133 คนข้อหาทำลายทรัพย์สินสถานีรถไฟใต้ดินซึ่งคาดว่ามีมูลค่าความเสียหายถึง 500 ล้านเปโซชิลี (ราว 21 ล้านบาท)
เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม การประท้วงเพิ่มระดับความรุนแรงขึ้น มีการทำลายที่กั้นเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน และดึงเบรกฉุกเฉินรถไฟใต้ดิน
หลังจากมีการโจมตีเกือบทั้ง 164 สถานี ซึ่งส่วนใหญ่รั้วกั้นทางเข้าสถานีถูกทำลายนั้น ทางทวิตเตอร์ของผู้ให้บริการรถไฟ ระบุว่าระบบรถไฟฟ้าใต้ดินปิดตัวลงจากเหตุในครั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดกับผู้โดยสารและพนักงาน ส่งผลกระทบกับผู้โดยสารกว่า 2.5 ล้านคน ซึ่งโดยสารรถไฟใต้ดิน
คาดว่าระบบรถไฟใต้ดินซานติเอโกเมโทร ระยะราง 140 กิโลเมตร ซึ่งนับว่าใหญ่และทันสมัยที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ จะปิดในช่วงสุดสัปดาห์นี้ และค่อยทยอยเปิดให้ใช้บริการอีกครั้งในสัปดาห์หน้า
กลุ่มผู้ประท้วงมีการตั้งแนวกั้นในหลายจุดของเมืองและปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งใช้ท่อฉีดน้ำแรงดันสูงและแก๊สน้ำตาในการสลายการชุมนุม
นอกจากนี้ การประท้วงยังรุนแรงขึ้นโดยมีการจุดไฟเผาสถานีรถไฟใต้ดินหลายแห่ง มีรถโดยสารประจำทางถูกเผาอย่างน้อย 16 คัน ทางด้านบริษัทพลังงานเอเนลชิลี ระบุว่า มีผู้ทำทำลายทรัพย์สินวางเพลิงในตึกสำนักงานของบริษัท ทว่าได้มีการอพยพพนักงานและไม่มีใครบาดเจ็บ
ก่อนหน้านี้ในวันที่ 18 ตุลาคม กลอเรีย ฮัตต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนามคมและโทรคมนาคม กล่าวว่ารัฐอุดหนุนค่าดำเนินงานเกือบครึ่งหนึ่งของรถไฟใต้ดิน และจะไม่มีการปรับลดค่าโดยสารลง
สำนักข่าวบีบีซีชี้ว่าชิลีเป็นหนึ่งในประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา แต่ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดเช่นกัน มีเสียงสะท้อนถึงปัญหาค่าครองชีพและเรียกร้องให้มีการปฏิรูปเศรษฐกิจโดยเฉพาะในกรุงซานติเอโกซึ่งมีประชากรราว 6 ล้านคน
ที่มา: BBC / Guardian / Aljazeera / TelesureEnglish / AFP / Reuters
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: