นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เปิดเผยหลังเข้ารับทราบข้อกล่างหาและให้การด้วยวาจากับพนักงานสอบสวนที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เป็นเวลากว่า 3 ชั่วโมง ว่า ฝ่ายกฎหมายของ คสช. เป็นผู้มอบอำนาจให้กับ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ มาร้องทุกข์กล่าวโทษตนในข้อหาหมิ่นศาล และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ จากกรณีแถลงการณ์พรรคอนาคตใหม่หลังยุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ซึ่งตนตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องการดูหมิ่นศาล ซึ่งเป็นของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ คสช. ซึ่งมีหัวหน้าเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของอีกพรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นคู่แข่งกันทางการเมืองในสนามเลือกตั้ง กลับมาเป็นผู้มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่มาร้องทุกข์กล่าวโทษตน
นอกจากนี้ นายปิยบุตร ยังกล่าวว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชน คือ คณะรัฐมนตรี รัฐสภา และศาล ซึ่งใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชนในเรื่องตุลาการ ดังนั้นในเรื่องการตรวจสอบวิพากษ์เป็นเรื่องปกติในฐานะผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ที่ผ่านมาฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ก็ถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ ดังนั้นองค์กรตุลาการก็ควรอยู่ในระนาบเดียวกันเพื่อให้ประชาชนสามารถวิจารณ์ได้ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญซึ่งตัดสินคดีที่ส่งผลกระทบทางการเมือง ถ้าต้องการให้มีหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบมากก็จะกระทบกับความเป็นอิสระในการพิจารณาคดี
สิ่งสำคัญคือการให้สาธารณชนเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยคำพิพากษาต่างๆ ซึ่งตนทำมาโดยตลอด เมื่อครั้งเป็นนักวิชาการคณะนิติศาสตร์ และอีกเรื่องที่สำคัญคือ การดูหมิ่นศาลเทียบเคียงได้กับการดูหมิ่นบุคคลอื่น ซึ่งคนที่ถูกทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงต้องเป็นคนเริ่มร้องทุกข์กล่าวโทษ แต่เนื่องจากความผิดฐานดูหมิ่นศาลไปอยู่ในความผิดฐานอาญาแผ่นดินที่ใครก็สามารถไปร้องทุกข์กล่าวโทษได้ ตนเห็นว่าจะเป็นปัญหาในอนาคต และคดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานในอนาคตว่าหากสุดท้ายตนมีความผิดจริงจะทำให้บรรทัดฐานการวิจารณ์องค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐจะไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐาน ถือเป็นจุดอ่อนของกฎหมายไทย
การที่ตนถูกกล่าวโทษนี้ให้ถือเป็นอุทาหรณ์ว่า สภาพกฎหมายที่เป็นอยู่มีข้อบกพร่องอย่างไร และกระทบกระเทือนกับเสรีภาพของประชาชน แต่ตนยังมั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของไทยและการทำหน้าที่ของพนักงานสืบสวนสอบสวน และเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด แต่ตนเห็นใจที่ถูกสั่งการเริ่มต้นมาจาก คสช.
ทั้งนี้ในการสอบสวนตนได้ขอเวลาในการทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรและขอเวลาในการเตรียมพยานหลักฐาน 30 วัน แต่เจ้าพนักงานสอบสวนกลับเร่งรัดเหลือ 9 วัน คือให้มายื่นคำให้การภายในวันที่ 25 เม.ย. ซึ่งตนเห็นการละเมิดสิทธิผู้ถูกกล่าวหา ทั้งที่ตนเพิ่งมาทราบว่าถูกกล่าวหาอะไรและเพิ่งได้อ่านคำร้องทุกข์กล่าวโทษ อีกทั้งหลายข้อความที่อยู่ในคำร้องตนก็ไม่ได้พูด
หากท้ายที่สุด ปอท. ไม่สั่งฟ้อง ตนจะฟ้องกลับ คสช. หรือไม่ นายปิยบุตร กล่าวว่า เรามาเป็นผู้แทนของประชาชนเป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย สิ่งสำคัญคือต้องอดทนอดกลั้นในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่เช่นนั้นสังคมประชาธิปไตยจะไปต่อไม่ได้ ตนเองหรือตัวหัวหน้าพรรคก็อดทนอดกลั้นกับการแสดงความคิดเห็นต่างอย่างถึงที่สุด หลายเรื่องที่เป็นข้อความที่ทำให้เกิดการเกลียดชัง (Hate Speech) หลายเรื่องเป็นการกล่าวเท็จ หลายเรื่องเป็นการใส่ร้ายป้ายสีแต่เราก็เข้าใจและอดทนอดกลั้น
“ในเมื่อคุณจะยืนหยัดในการเป็นนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งก็ต้องทนให้ได้ทุกอย่างก็อยากจะเรียนฝากไปว่านักการเมืองที่มาจากการยึดอำนาจ ก็ต้องอดทนอดกลั้นเรื่องพวกนี้เหมือนกัน รวมทั้งองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐทั้งหมดก็ต้องอดทนอดกลั้นกับการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง เราเป็นนักการเมืองจากการเลือกตั้ง เรายังทนได้นักการเมืองที่มาจากการยึดอำนาจก็ต้องทนให้ได้เช่นเดียวกัน”
ด้านทนายความ นายกฤษฎางค์ นุตจรัส กล่าวว่า พนักงานสอบสวน อ้างว่าคสช. กล่าวหาว่า นายปิยะบุตรหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อตนถามกลับไปว่าได้สอบถามไปยังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้วหรือยัง แต่ปรากฎว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ตอบ และให้อยู่ในดุลยพินิจของศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นข้อสงสัยที่ทำให้ต้องกลับไปหาข้อมูลเพราะตัวผู้เสียหายจริงๆ ยังไม่บอกเลยว่าโดนหมิ่นประมาทหรือเสียหายหรือเปล่า ต้นจึงต้องขอเวลาในการหาพยานหลักฐาน 30 วัน แต่พนักงานสอบสวนให้เวลาเพียงแค่ 9 วันโดยให้เหตุผลว่ามีผู้ใหญ่เร่งรัดมา ซึ่งตนคาดว่าจะทำคำให้การไม่ทันและหากครบกำหนด 9 วันพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนยื่นฟ้องไปยังอัยการตนจะขอขยายเวลารวบรวมพยานหลักฐานในชั้นอัยการต่อไป พร้อมยังยืนยันว่าในวันแถลงการณ์พรรคอนาคตใหม่ไม่มีข้อความใดดูหมิ่นศาลแต่เป็นการพูดถึงการเลือกตั้งเท่านั้น
ทั้งนี้นายปิยบุตรกล่าวเสริมว่าถ้าจะร้องทุกข์กล่าวโทษตนก็ขอให้กล่าวโทษให้ตรง เนื่องจากมีหลายประเด็นในสำนวนที่ตนไม่ได้พูด อีกทั้งความผิดนี้คือการดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษา แต่ คสช. เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ ถ้าต่อไปนี้มีใครวิพากษ์วิจารณ์ศาลรัฐบาลต้องทำหน้าที่ไปร้องทุกข์กล่าวโทษให้หมดเลยหรือ และในอดีตไม่เคยปรากฏว่ามีประชาชนคนใดหรือไม่
“ความผิดฐานดูหมิ่นศาลก็คือดูหมิ่นตัวศาลหรือตัวผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีปัญหาคือว่าคสช. เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เทียบเคียงกัน คสช. ก็เทียบเท่ากับเป็นรัฐบาล ถ้าอย่างนี้หมายความว่าต่อไปนี้มีใครวิพากษ์วิจารณ์ศาลรัฐบาลต้องทำหน้าที่ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษให้หมดอย่างนั้นหรือในอดีตที่ผ่านมา เราไปตรวจสอบแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาพบว่าความผิดฐานดูหมิ่นศาลส่วนใหญ่ผู้พิพากษาเป็นคนริเริ่มร้องทุกข์แทบจะไม่เคยปรากฏว่ามีนายดำ นายแดงไปแจ้งความแบบนี้หรือองค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นไม่เคยไปร้องทุกข์กล่าวโทษเรื่องการดูหมิ่นศาลครั้งนี้เป็นครั้งแรก”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง