นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่าเมื่อวานนี้ (10 มิ.ย.) ได้ลงนามในคำร้องที่พรรคฝ่ายค้านขอให้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพความเป็นรัฐมนตรี ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ จากใน 2 ประเด็น สำคัญ คือ
ว่าเข้าข่ายเป็นลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ หรือไม่
สำหรับกรณีนี้ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านนำโดย พรรคก้าวไกล ได้เข้าชื่อ ยื่นเรื่องต่อนายชวน หลีกภัย เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยมองว่า ทั้ง 2 กรณีอาจนำไปสู่การขัดกันแห่งผลประโยชน์ ทำให้ ร.อ.ธรรมนัส ขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีได้ และเป็นผลมาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในสภาฯ รวมทั้งการตรวจสอบในชั้น คณะกรรมาธิการป้องกันปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบ หรือ กมธ.ป.ป.ช.
ร.อ.ธรรมนัส ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาฯ ยืนยันว่ามีคุณสมบัติ เพราะคดีที่เคยต้องโทษ ได้รับการล้างมลทิน มาแล้ว 2 ครั้ง ตาม พระราชบัญญัติล้างมลทินปี 2539 และ 2550
เรื่องนี้ นายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ให้ความเห็นว่า กรณีการต้องโทษของ ร.อ.ธรรมนัส ไม่เกี่ยวกับศาลไทย ซึ่งการจะได้รับการล้างมลทินต้องเป็นผู้ที่ถูกลงโทษตามกฎหมายไทยเท่านั้นไม่เกี่ยวกับความผิดในศาลต่างประเทศ แต่ต้องดูว่าพฤติกรรมอย่างนั้นเข้าข่ายเป็นพฤติกรรมเสื่อมเสียหรือไม่ ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ส่วนกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส เคยถูกให้ออกจากราชการทหารมาก่อน แม้จะมีผลตาม พ.ร.บ.ล้างมลทินก็จริง แต่ตามรัฐธรรมนูญ กำหนดลักษณะต้องห้ามผู้ที่เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการเพราะทุจริตในหน้าที่ หรือประพฤติมิชอบในวงราชการ ซึ่งต้องดูว่า การถูกให้ออกครั้งนั้นเข้าข่ายกรณีนี้หรือไม่
ทั้งนี้กรณีให้ออกจากราชการและอ้าง พ.ร.บ.ล้างมลทิน เข้ามาดำรงตำแหน่ง เคยเกิดขึ้นจากกรณี นายระวี รุ่งเรือง อดีต ส.ว. ซึ่งเมื่อวานนี้ (10 มิ.ย.) ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจาก ส.ว. มาแล้ว เนื่องจากถูกให้ออกจากราชการเพราะประพฤติชั่วร้ายแรง ไม่สามารถทำให้ความผิดถูกลบล้างหายไปได้ ตาม พ.ร.บ.ล้างมลทิน จึงยังเข้าข่ายขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย