ไม่พบผลการค้นหา
นายกฯ เตรียมลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการติดตามการขับเคลื่อนแผนงานตามนโยบายของรัฐบาลเชียงใหม่ 29 มิ.ย. นี้ ย้ำทุกหน่วยงานเตรียมความพร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ขอให้ร่วมมือกันลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหวังให้ลดความเสี่ยงถูกกีดกันทางการค้า

ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะเตรียมลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อตรวจราชการติดตามการขับเคลื่อนแผนงานตามนโยบายของรัฐบาล ในวันที่พุธที่ 29 มิ.ย. 2565 โดยมีกำหนดการ ดังนี้

ช่วงเช้า นายกรัฐมนตรี จะไปตรวจเยี่ยมติดตามความคืบหน้าโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา ซึ่งกรมชลประทาน ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินโครงการเพิ่มปริมาณน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา แบ่งการดำเนินการเป็น 2 ระยะ ได้แก่ 1) อุโมงค์ส่งน้ำ ช่วงลำน้ำแม่แตงไปยังอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล และ 2) อุโมงค์ส่งน้ำช่วงอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชลไปยังอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการขาดแคลนน้ำที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการเติบโตด้านการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม และการขยายตัวของชุมชน ระยะทางรวมประมาณ 49 กิโลเมตร ปัจจุบันมีความก้าวหน้าโครงการ ร้อยละ 68.81 

จากนั้น นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในพิธี FTI Expo 2022 – Shaping the Future Industry ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดงาน ระหว่างวันที่ 29 มิ.ย. – 3 ก.ค. 2565 เพื่อเป็นการแสดงศักยภาพและยกระดับความก้าวหน้าของภาคอุตสาหกรรมเป้าหมาย ภายใต้แนวคิด BCG เพื่อขานรับนโยบายของรัฐบาลในการเปิดประเทศหลังวิกฤตการณ์โควิด - 19 และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมทั้งเป็นการจุดประกายการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมไทยในบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรี จะไปเยี่ยมชมผลการดำเนินงานพัฒนาทักษะด้านโค้ดดิ้ง (Coding)ให้แก่เยาวชน ณ โรงเรียนวัดเวฬุวัน ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี ถือเป็นนโยบายพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัล ซึ่งสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (Depa) ได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการ Coding Thailand ซึ่งเป็นโครงการแพลตฟอร์มออนไลน์ระดับประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มทักษะและบ่มเพาะเยาวชนสู่การเป็นผู้มีทักษะด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลในอนาคต 

เสร็จแล้วนั้น นายกรัฐมนตรีจะเดินทางต่อไปยังเทศบาลแม่เหียะ เพื่อเยี่ยมชมการพลิกโฉมระบบการบริหารและบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเทศบาลเมืองแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ได้มีการดำเนินการวิจัยและพัฒนา เพื่อยกระดับการบริหารในมิติต่าง ๆ อาทิ Dashboard ข้อมูลการให้บริการประชาชนของฝ่ายต่าง ๆ การให้บริการในระบบ Online ระบบข้อมูลสนับสนุนการบริหารงานของผู้บริหาร การจัดทำแผนที่ 3D Model และการดำเนินการของศูนย์บริการเป็นเลิศ จนเกิดเป็น แม่เหียะโมเดล นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 จนถึงปัจจุบัน

ธนกร เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำทุกหน่วยงานต้องเตรียมความพร้อมที่จะเติบโตด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ทั้งเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงการให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับอุตสาหกรรม การค้า การลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกับการลดปริมาณคาร์บอน เพื่อให้เป็นไปตามที่ประเทศไทยได้ประกาศกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (CO2) ในการประชุมสุดยอดผู้นำเวทีโลกใน COP26 โดยมีเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายในระดับโลก

ทั้งนี้ การตั้งเป้าหมายดังกล่าว จะทำให้ลดความเสี่ยงจากการถูกกีดกันทางการค้า และเพิ่มโอกาสที่จะเข้าร่วมในเวทีการค้าได้มากขึ้น เนื่องจากเป้าหมายการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะถูกใช้เป็นเงื่อนไขการค้าระหว่างประเทศ ที่มีความสำคัญมากกว่าข้อตกลงทางการค้า (FTA) ในอนาคต โดยปัจจุบันสหภาพยุโรปประกาศเก็บภาษีคาร์บอนบางรายการ ขณะที่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดคู่ค้าใหญ่ของไทยก็จะมีการเก็บภาษีคาร์บอนในสินค้าที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงในการผลิตเช่นกัน 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ประเทศไทยจะต้องใช้โอกาสเร่งพัฒนาและประยุกต์ใช้นวัตกรรม คิดค้นอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่จะตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไป ก้าวสู่การเป็นอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่มุ่งใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่มุ่งไปสู่สินค้าและบริการ ที่สร้างผลกระทบให้โลกน้อยที่สุด ซึ่งจะสร้างประโยชน์ทางการค้า การส่งออก และภาคธุรกิจไทย โดยขณะนี้ภาคพลังงาน การผลิตไฟฟ้า รัฐบาลได้ปรับโครงสร้างพลังงานลดสัดส่วนการใช้ เชื้อเพลิงฟอสซิล ไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงขยายแนวคิดการใช้พลังงานหมุนเวียนให้เป็นพลังงานทดแทนในทุกภาคส่วน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งเรื่องของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ซึ่งรัฐบาลกำหนดแผนที่จะผลิตรถยนต์ไม่ปล่อยมลพิษร้อยละ 30 ของการผลิตในปี 2573 ตลอดจนออกมาตรการสนับสนุน สร้างแรงจูงใจและดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของผู้ประกอบการ พร้อมมีเป้าหมายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับยานยนต์ไฟฟ้า การส่งเสริมสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าสาธารณะแบบ Fast charge และสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าด้วย 

“นอกจากนี้ รัฐบาลยังส่งเสริมการปลูกและเพิ่มพื้นที่ป่า และการพัฒนาตลาดซื้อขายคาร์บอน เป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน รัฐบาลมีแผนในการเพิ่มพื้นที่ปลูกป่าในประเทศ จากร้อยละ 31.8 เป็นร้อยละ 40 ในปี 2579 เพื่อเพิ่มศักยภาพการดูดซับก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นการใช้จุดแข็งของประเทศไทยที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ มีพันธุ์พืชที่เหมาะกับการดูดซับก๊าซเรือนกระจกสูงต่อพื้นที่หลายชนิด อีกทั้งยังได้พัฒนากลไกตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย โดยกำหนดแนวทางและกลไก การบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับภาคเอกชนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภาคเอกชน ชุมชน และท้องถิ่นก็จะมีรายได้จากการปลูกป่า/ต้นไม้ ที่เข้าร่วมโครงการซื้อขายคาร์บอนเครดิตด้วย” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว