ไม่พบผลการค้นหา
เรื่องราวของชายที่ชื่นชอบพนันม้าแข่งและการรังสรรค์ปริศาตัวเลข 'ทำมือ'

แม้ฟังดูเป็นเรื่องโบราณไปไม่น้อยหากจะกล่าวว่า ‘เมื่อเปิดหนังสือพิมพ์ขึ้นมา คุณจะเจอกับ ‘หัวใจ’ ของบทความนี้’ 

ทว่าเพราะเรื่องราวของ ‘เดอะก็อดฟาเธอร์แห่งซูโดกุ’ เริ่มต้นขึ้นในยุคที่อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ยังรุ่งโรจน์ ก็คงไม่เสียหายอะไรหากเราจะส่งผู้อ่านเกินครึ่งที่กำลังเสพงานชิ้นนี้ผ่านสมาร์ตโฟนหรืออีกส่วนผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีขนาดจอใหญ่ขึ้นมา ให้ลองย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่หน้าหนังสือพิมพ์ไม่ได้บางเฉียบเช่นปัจจุบัน 


ชื่อของเขาคือ ‘มากิ คาจิ’

เราเสียใจที่ต้องบอกตั้งแต่ตรงนี้ว่า ‘มากิ คาจิ’ เสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ 10 ส.ค.2564 จากโรคมะเร็งท่อน้ำดี ‘ราชาเกมปริศนาแห่งญี่ปุ่น’ (Japan’s puzzle king) อันเป็นฉายาที่อยู่บนนามบัตรของเขา จากไปด้วยวัย 69 ปี ณ บ้านพักส่วนตัวในกรุงโตเกียว

เขาบอกลาโลกนี้ไปอย่างเงียบเชียบและไร้กังวล ไม่แม้แต่จะเป็นเดือดเป็นร้อนหันมาสนใจจดเครื่องหมายการค้าของคำว่า ‘sudoku’ นอกประเทศญี่ปุ่น (แต่ไม่ต้องห่วง เราจะกลับมาพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้งแน่)

ก่อนอื่น คงต้องย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นเมื่อวันที่ 8 ต.ค.2494 มากิวัยเด็กถือกำเนิดขึ้นมาในเมืองซัปโปโร กับครอบครัวที่บิดาประกอบอาชีพวิศวกรเคเบิลใต้น้ำ (submarine cable) ขณะมารดาทำงานร้านกิโมโน ไม่นานหลังจากนั้นทั้งครอบครัวก็ย้ายเข้ามาตั้งรกรากในเมืองหลวงของญี่ปุ่นอย่างกรุงโตเกียว 

มากิเติบโตเฉกเช่นเด็กทั่วไป จนกระทั่งเขาเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในสาขาวรรณกรรมที่มหาวิทยาลัยเคโอ สถาบันอุดมศึกษาเอกชนชื่อดังอันดับต้น ๆ ของประเทศ ช่วงต้นทศวรรษ 70 ก่อนจะรู้สึก “เบื่อ” เกินไปกับเส้นทางชีวิตนั้นจึงหยุดเรียนไปในปีแรกที่เข้าศึกษา 

เขาหันมาเล่นพนันซึ่งกลายเป็นนิสัยติดตัวแก้ไม่หาย ดูเสมือนเขาจะโอบรับมันมากกว่าพยายามกำจัดทิ้งไป มาจิตอบประเด็นนี้ในบทสมภาษณ์กับเดวิด แมคเนลล์ ที่ตีพิมพ์ใน The Asia-Pacific Journal เมื่อปี 2550 ว่าเขาเริ่มพนันม้าแข่งตั้งแต่ยังเด็กและทุกวันนี้ก็ยังหาเวลาว่างช่วงวันหยุดไปสนามม้าตลอด

ซูโดกุ - มากิ คาจิ AFP
  • ภาพ 'มากิ คาจิ' ในงานแข่งขันซูโดกุชิมแชมป์ระดับประเทศครั้งแรก ที่นครเซาเปาโล ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 29 ก.ย.2555

“ทันทีที่ผมก้าวขาเข้าสนามแข่งม้า เหมือนผมสูญเสียซึ่งการรับรู้เวลาและเงิน...ความตื่นเต้นจากการไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไงคล้ายกัน (กับการแก้ปริศนา) แต่ผมก็ควบคุมตัวเอง ให้พนันได้แค่วันละ 10,000 เยน (ประมาณ 3,000 บาท) มันเป็นการฝึกควบคุมตัวเอง” 

ช่วงที่ออกจากมหาวิทยาลัย มากิยังได้ลองทำอีกหลายอย่าง ทั้งไปเป็นบริกร, คนงานก่อสร้าง รวมไปถึงนักเทนนิสแข่งขันระดับประเทศ ก่อนจะมาลงเอยด้วยการเปิดสำนักพิมพ์ ในปี 2523 ด้วยชื่อ ‘Nikoli’ (นิโคลิ) ซึ่งเป็นการตั้งตามชื่อม้าแข่งตัวหนึ่งที่เกิดในประเทศไอร์แลนด์ 


2527: จงเป็นโสด และไม่แต่งงาน 

มากิเล่าจุดเริ่มต้นของ ‘ซูโดกุ’ เอาไว้ในงานแข่งขันชิงแชมป์ซูโดกุระดับประเทศที่สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2551 ว่า เขาพบเข้ากับปริศนาตัวเลขที่มีชื่อว่า ‘Number Place’ ในนิตยสารอเมริกันเล่มหนึ่งในปี 2527 ซึ่งเขาชอบมากและต้องการนำเกมดังกล่าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของนิตยสารตัวเองที่เปิดมาแล้ว 4 ปี ติดปัญหาแค่ตรงที่ว่าเขาไม่ชอบชื่อนั้น และอยากได้ชื่อที่เป็นภาษาญี่ปุ่นมากกว่า 

เขาตั้งชื่อแรกของปริศาตัวเลขนี้อย่างตรงตัวผ่านรูปแบบการเล่นว่า "Suuji wa dokushin ni kagiru" ที่แปลได้ว่า “ตัวเลขควรเป็นโสด ไม่แต่งงาน” สอดคล้องกับรูปแบบการแก้ปริศาที่ผู้เล่นสามารถเติมเลขระหว่าง 1 - 9 ได้ในช่องว่างเท่านั้น ไม่สามารถใส่เลขสองหลักได้ 

ทั้งนี้ชื่อ ‘ตัวเลขควรเป็นโสด ไม่แต่งงาน’ เห็นทีจะยาวเกินไป ตัวเขาและทีมงานจึงเรียกมันสั้น ๆ ด้วยตัวย่อว่า ‘sudoku’ ซึ่งมาจากการสนธิคำว่า ‘su’ ที่แปลว่าตัวเลข เข้ากับคำว่า ‘doku’ ที่แปลว่าโสดหรือไม่แต่งงาน 

มากิ อธิบายติดตลกว่า ณ วันที่คิดชื่อนี้ขึ้นมาเขาแต่งงานแล้ว และไม่ได้ตั้งชื่อ ‘ตัวเลขควรเป็นโสด’ ขึ้นมาประชดประชันหรือสื่อความหมายแฝงแต่อย่างใด เขาไม่ได้คิดว่าชื่อดังกล่าวจะดังไปทั่วโลกด้วยซ้ำ เพียงแต่ตอนนั้นถูกบีบด้วยเวลาและพนักงานว่า ‘เลือกมาสักอัน’ ประกอบกับเขาอยากรีบไปสนามแข่งม้าในวันนั้นด้วย ด้วยเหตุทั้งหมดทั้งปวง และเวลาอีกเพียง “25 วินาที” เขาก็รังสรรค์ชื่อเกมปริศนาตัวเลขระดับโลกนี้เสร็จสมบูรณ์ 

“นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทีมของเราสรรค์สร้างซูโดกุนับพัน ๆ ปริศาขึ้น ตั้งแต่ระดับง่ายไปจนยาก ขณะที่ก็เพิ่มรสนิยมคุณภาพสูงให้กับนิโคลิไปพร้อมๆ กัน” มากิ กล่าว

Screen Shot 2021-08-23 at 10.32.51 AM.png
  • ที่มา; บัญชีอินสตาแกรมอย่างเป็นทางการของนิโคลิ

รสนิยมเป็นคำที่มีความสำคัญกับทั้งมากิ, นิโคลิ และซูโดกุมากจนเป็นแกนสำคัญที่ทำให้ปริศาตัวเลขทั้งหมดที่ออกมาจากสำนักพิมพ์แห่งนี้ ‘ทำด้วยมือ’ ทั้งสิ้น พร้อมคำอธิบายจาก ‘เดอะก็อดฟาเธอร์’ ว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมา เรามักทุ่มความคิดไปที่กระบวนการแก้ปริศนามากกว่าผลลัพธ์ นี่เป็นคำถามเรื่องรสนิยมที่ดี (good taste) ประเด็นที่คอมพิวเตอร์จะไม่มีวันเข้าใจ”

“เกมปริศนาของนิโคลิอยู่ในหนังสือพิมพ์และนิตยสารญี่ปุ่นทุกฉบับ/เล่ม 100% ของทั้งหมด นี่เป็นเพราะผู้แก้ปริศนาชาวญี่ปุ่นชอบปริศนาของนิโคลิ ถ้าคุณอยู่กับนิโคลิ คุณจะเข้าใจเองว่าทำไม"

“คุณอาจสร้างโปรแกรมเขียนซูโดกุได้ แต่คุณจะไม่มีวันสร้างปริศนาซูโดกุของนิโคลิได้” - เดอะ ก็อดฟาเธอร์แห่งซูโดกุ
ของดีคือของฟรี

ความมั่นใจที่ประธานนิโคลิมีนั้นล้นเหลือ ‘ไม่มีผู้ใดจะเลียนแบบซูโดกุของนิโคลิได้’ ทว่าความใจกว้างของเขากลับเหลือล้นเพราะทุกคนสามารถสร้าง ‘ซูโดกุของตัวเองได้’ 

ความนิยมชมชอบในปริศนาแห่งนิโคลินี้ไม่ได้โด่งดังเท่าไหร่ในตลอดทศวรรษแรก ๆ จนกระทั้งเหตุการณ์สำคัญสองช่วง อันได้แก่ช่วงแรกที่ไม่ได้ระบุเวลาแต่ถูกเขียนอยู่ใน The Asia-Pacific Journal ว่า ‘เวย์น กูลด์’ ซึ่งเป็นอดีตผู้พิพากษาในศาลฮ่องกงนั้น นำซูโดกุไปพัฒนาผ่านโปรแกรมคอมพิมเตอร์ก่อนที่จะส่งไปยังหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร

ขณะที่ The Wall Street Journal ระบุว่า ในปี 2547 มีแฟนคลับซูโดกุชาวนิวซีแลนด์นำมาตีพิมพ์ลง Times of London จนกลายเป็นกระแสไปทั่วโลก เกิดการแข่งขันซูโดกุชิงแชมป์โลกครั้งแรกขึ้นในปี 2549

ท่ามกลางอาทิตย์อัสดงในวงการสื่อสิ่งพิมพ์ ปริศนาซูโดกุยังอยู่กับหน้ากระดาษที่บางลงเรื่อย ๆ เหล่านั้นเสมอ แม้แต่บนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีที่หลายฝ่ายตราหน้าว่าเป็นวายร้ายของสื่อดั้งเดิม

ซูโดกุ - มากิ คาจิ AFP
  • ภาพ 'มากิ คาจิ' ในงานแข่งขันซูโดกุชิมแชมป์ระดับประเทศครั้งแรก ที่นครเซาเปาโล ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 29 ก.ย.2555

มากิเขียนในหนังสือภาษญี่ปุ่นของเขาว่า หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ซูโดกุประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามเป็นเพราะผู้เล่นไม่จำเป็นต้องมีความรู้เฉพาะทาง อาทิ การจดจำคำศัพท์เพื่อเล่นคอลสเวิร์ด (crossword)

“คุณแค่มองตัวเลขเหล่านั้น และคิดให้หนักหน่อย ใคร ๆ ก็แก้ปริศนาได้...มันไม่เกี่ยวเลยว่าคุณจะอายุเท่าไหร่หรือพูดภาษาอะไร” 

ความสากลทั้งวิธีการเล่น กฎ กติกา และรูปแบบ รวมไปถึงเสน่ห์ของปริศานาตัวเลขขนาด 9 คูณ 9 ทำให้นิโคลิประเมินว่า แท้จริงแล้วมีผู้เล่นซูโดกุไม่ต่ำกว่า 200 ล้านคน ใน 100 ประเทศทั่วโลก ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าประชากรญี่ปุ่นเกือบเท่าตัว (ปัจจุบันญี่ปุ่นมีประชากรราว 126 ล้านคน)

แม้จะมีปริมาณผู้เล่นซึ่งนัยหนึ่งสวมบทบาท ‘ผู้บริโภค’ กุมอำนาจซื้อในมือมหาศาลขนาดนี้ นิโคลิกลับมีพนักงานเพียง 25 คนเท่านั้น เพิ่มขึ้น 3 คน จากปี 2550 ช่วงก่อนปี 2548 ที่ซูโดกุจะดังไปทั่วโลก นิโคลิมีพนักงานเพียง 16 คน อีกทั้งบริษัทยังมีเงินทุนซึ่งแสดงในข้อมูลบริษัทล่าสุด เพียง 10 ล้านเยน หรือราว 3 ล้านบาทเท่านั้น 

สาเหตุสำคัญที่ทำให้บริษัทไม่สามารถทำกำไรมหาศาลได้เป็นเพราะ มากิเลือกที่จะไม่จดเครื่องหมายการค้าของคำว่า ‘ซูโดกุ’ ในประเทศอื่นอกจากญี่ปุ่น ซึ่งเขาให้เหตุผลไว้ว่า “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ผมจะมีความสุขมากกว่าที่เห็นทุกคนในโลกนี้มีความสุขกับซูโดกุง่ายขึ้น”

“จริงอยู่ที่ผมไม่ได้กลายเป็นเศรษฐีพันล้าน แต่ผมดีใจที่นับพันล้านคนหลงรักซูโดกุ” อดีตประธานบริษัทผู้ล่วงลับ กล่าว

มากิจากโลกนี้ไปแล้ว ขณะที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยซึ่งเล่นซูโดกุทุกวันนี้อาจไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ ถึงจะไม่ใช้ผู้คิดเกมนี้ขึ้นมา แต่เขาก็เป็น ‘พ่อทูนหัว’ ที่ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งมอบชื่อที่คิดอย่างรวดเร็วเพราะอยากไปพนันม้าแข่งให้และคอยอุ้มชูเลี้ยงดู ‘ปริศนาซูโดกุ’ อย่างยึดมั่นในรสนิยมที่ดี แต่ก็ใจกว้างให้ผู้อื่นได้ปรุงแต่งตามรสมือที่ชอบเช่นกัน 

นิโคลิยังดำเนินต่อไปโดยได้ โยชินาโอะ อันพูกุ อดีตบรรณาธิการบริหารของสำนักพิมพ์ที่อยู่กับบริษัทมาตั้งแต่ปี 2533 ขึ้นดำรงตำแหน่งซีอีโอ

ส่วนเจ้าม้านิโคลิผู้เป็นแรงบันดาลใจขอชื่อบริษัทที่มากิเคยไปเยี่ยมเยียนเมื่อปี 2529 แล้วบรรยายว่า “มันปลดเกษียณและใช้ชีวิตสบาย ๆ แล้ว หลังจากทุ่มทั้งชีวิตเป็นความสนุกสนานให้ผู้คน” ก็คงล่วงหน้าจากไปอย่างสงบแล้วเช่นกัน เมื่อคำนวณว่าอายุเฉลี่ยของม้าโดยทั่วไปคือ 30 ปี