นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 มีการแพร่ระบาดไปทั่วโลก ทำให้เกิดการติดเชื้อเป็นวงกว้าง และมีผู้ป่วยส่วนหนึ่งเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ดังนั้น การพัฒนาวิธีการรักษารวมถึงการจัดหายารักษาโควิด 19 จึงมีความสำคัญและจำเป็นสำหรับผู้ที่ติดเชื้อ ซึ่ง อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายการจัดหายารักษาโควิด 19 ที่สำคัญ คือ การเข้าถึงยาที่มีประสิทธิผลในการรักษา โดยมีข้อมูลทางวิชาการหรือผลการศึกษาวิจัยที่มีคุณภาพเพียงพอในการสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย เพื่อพิจารณาเลือกและจัดหายาที่เหมาะสมในการนำมาใช้ในกับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศไทย
ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้ยาต้านไวรัสเพื่อให้การรักษาผู้ป่วย COVID-19 ได้แก่ ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ยาเรมเดซิเวียร์ (Remdesivir) ยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) และยาใหม่ที่อยู่ระหว่างการจัดหาและมีการลงนามจัดซื้อกับบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ในวันนี้ คือ ยาแพ็กซ์โลวิด (Paxlovid)
จากข้อมูลจากการศึกษาวิจัย 1,379 คน ลดความเสี่ยงการนอนโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตลงได้ ร้อยละ 88 เมื่อผู้ป่วยได้รับยาภายใน 5 วันนับตั้งแต่เริ่มมีอาการ กลุ่มที่ให้ยา Paxlovid นอนโรงพยาบาล 0.77% และไม่มีผู้เสียชีวิต กลุ่มยาหลอกมีผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลหรือเสียชีวิต 6.31% โดยมีผู้เสียชีวิตในกลุ่มที่ได้ยาหลอก 13 คน
ทั้งนี้ ยา Paxlovid เหมาะสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางและมีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง เช่น คนอายุมากกว่า 60 ปี มีภาวะอ้วน เป็นเบาหวาน เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นโรคไตเรื้อรัง ภูมิต้านทานร่างกายต่ำ เป็นต้น
สำหรับยาแพ็กซ์โลวิด มีประสิทธิผลในการลดจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลและเสียชีวิตลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์รับผิดชอบสัญญาการจัดหาและจัดซื้อยาแพ็กซ์โลวิด (Paxlovid) จำนวน 50,000 คอร์สการรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยโควิด 19 ได้เข้าถึงยาต้านไวรัสชนิดใหม่ และลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือการรักษาตัวในโรงพยาบาล