ไม่พบผลการค้นหา
นายกฯ ขอมั่นใจไทยมีความพร้อมฉีดวัคซีนให้ประชาชนมากที่สุด ปลอดภัยเร่งเปิดประเทศโดยเร็ว สั่งการ สธ. วางแผนกระจายวัคซีนบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ ย้ำฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม

เมื่อวันที่ 15 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง (รมว.) กลาโหม โพสต์เฟซบุ๊กโดยเป็นภาพขณะประชุมร่วมกับ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว. สาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วย รมว.สาธารณสุข ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการการบริหารจัดการให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 พร้อมข้อความระบุว่า จากการประชุมอัพเดทเรื่องวัคซีนในวันเดียวกันนี้ ขอเรียนให้พี่น้องประชาชนทราบว่าการระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้นทั่วโลก บางประเทศเกิดขึ้นหลายระลอก เรื่องนี้เป็นสิ่งที่บอกว่าเราคงต้องปรับตัวและอยู่กับไวรัสโควิด-19 ให้ได้ เหมือนไข้หวัดที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ด้วยวัคซีนที่ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในระดับบุคคลก็จะต้องสวมหน้ากาก ล้างมือ รักษาระยะห่าง และรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อให้มีภูมิคุ้มกัน  

สำหรับในระดับประเทศ เมื่อเกิดการระบาด ก็ต้องมีการจำกัดการเคลื่อนย้าย การใช้พื้นที่ และงด เลี่ยงกิจกรรมที่มีความเสี่ยง อย่างที่เราทำกันอยู่ในตอนนี้ ซึ่งแน่นอนว่า เรื่องนี้ย่อมจะสร้างผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และระบบเศรษฐกิจ เรื่องการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้มากที่สุดจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นบริหารจัดการต้นทุนในการป้องกันและควบคุมโรคที่ถูกที่สุด ถูกกว่าการระดมตรวจหาเชื้อด้วยซ้ำ และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของประชาชนในภาพรวม รวมทั้งต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ตั้งแต่ปลายปี 2563 ทั่วโลกมีการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 32 ล้านโดส ในสหรัฐฯ ฉีดไปแล้ว ประมาณ 10.7 ล้านโดส จีนกว่า 9 ล้านโดส ยุโรป 3.7 ล้านโดส และอังกฤษ 3.1 ล้านโด๊ส          

สำหรับประเทศไทยนั้น ต้องทำความเข้าใจว่า เราควบคุมโควิด-19 ได้อยู่ในระดับที่ดี จึงมีจำนวนผู้ติดเชื้อน้อยมาก เราไม่ได้เป็นพื้นที่ระบาดรุนแรง จึงไม่ถูกเลือกให้เป็นที่ทดลองประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีน เพราะไม่มีกลุ่มตัวอย่างเพียงพอ เหมือนในหลายๆ ประเทศ รวมทั้งบางประเทศในอาเซียนที่มีข่าวว่าได้ฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้ว 

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการวัคซีนของเรา ก็ได้ติดตามการวิจัยพัฒนาวัคซีนต้านโควิดมาตั้งแต่หลังการระบาดใหม่ๆ รวมทั้งได้วางแผนการจัดหาและแผนการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ขณะนี้ศูนย์ผลิตวัคซีนของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนของแอสตราเซเนกา จากประเทศอังกฤษ ได้เริ่มการผลิตวัคซีนมาตั้งแต่กลางเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว อย่างไรก็ดีการผลิตวัคซีนแต่ละล็อตนั้น ต้องใช้เวลาประมาณ 4 เดือน ทั้งระยะเวลาในการผลิตและการตรวจสอบคุณภาพ โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเร่งรัดข้ามขั้นตอนได้ เพราะจะมีผลต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องคำนึงถึง 

ย้ำจองวัคซีนแอสตราเซเนกาฉีดให้ครอบคลุมประชาชน

นายกรัฐมนตรี ระบุว่าหากเป็นไปตามแผน วัคซีนแอสตราเซเนกาล็อตแรกจะพร้อมฉีดให้ประชาชนในเดือน มิ.ย. นี้ โดยที่รัฐบาลได้สั่งจองไปแล้ว จำนวน 26 ล้านโดส เพื่อฉีดให้กลุ่มเสี่ยง 13 ล้านคนก่อน และได้เจรจาขอซื้อเพิ่มเติมอีก 35 ล้านโดส เพื่อให้ครอบคลุมประชาชนให้มากขึ้น 

"สิ่งที่ผมอยากเรียนให้ทุกท่านทราบ ก็คือ การที่เราเป็นฐานการผลิตวัคซีนของแอสตราเซเนกาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น เป็นเหตุผลสำคัญที่จะทำให้เรามีโอกาสเข้าถึงวัคซีนที่ผลิตได้เร็วขึ้น"

นอกจากนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขยังได้สั่งซื้อวัคซีนของซิโนแวค ประเทศจีน จำนวน 2 ล้านโดส ซึ่งจะมาถึงประเทศไทยในช่วงเดือน ก.พ. นี้ แม้ว่าตอนนี้จะมีข่าวว่าวัคซีนซิโนแวค ที่ทดลองในบราซิล มีประสิทธิผลเพียง 50 กว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นก็ตาม แต่ผมก็อยากเรียนให้ทราบว่าในทางการแพทย์นั้น ประสิทธิภาพของวัคซีนขึ้นอยู่กับการทดลองว่า ฉีดที่ไหน หรือฉีดให้ใครด้วย

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้มีผลการทดลองวัคซีนซิโนแวค ในตุรกีและอินโดนีเซีย ซึ่งฉีดให้กับประชาชนหลากหลายกลุ่ม ในช่วงอายุต่างๆ กัน มีประสิทธิผลถึง 90% ในขณะที่บราซิลนั้น ทดลองฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง จึงอาจทำให้ตัวเลขประสิทธิผลต่ำกว่าที่อื่น แต่อย่างไรก็ตามกระทรวงสาธารณสุขได้สอบถามไปยังบริษัทซิโนแวคแล้ว เพื่อขอความชัดเจนในเรื่องประสิทธิผลของวัคซีนเพิ่มเติม  

ย้ำฉีดให้ได้ 50 %ของประชาชนยับยั้งโควิด

อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนให้ได้ผลในการยับยั้งการระบาด ต้องฉีดให้ได้อย่างน้อย 50% ของจำนวนประชากร หรือจะให้ดีคือ 70% ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจะฉีด 50% คือ 33 ล้านคน จะต้องฉีดถึง 66 ล้านโดส ถ้าเริ่มฉีดเดือน มิ.ย. จนถึงปลายปีนี้ จะต้องฉีดเดือนละ 9.4 ล้านโดส หรือวันละ 313,000 โดส ถ้าคิดว่าวันหนึ่งฉีดได้ 12 ชั่วโมง คือชั่วโมงละ 26,000 โดส

เพราะฉะนั้น การฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุดภายในสิ้นปีนี้ เป็นงานที่ท้าทายระบบสาธารณสุขทั่วโลก จากสถิติอัตราการฉีดวัคซีนในช่วงที่ผ่านมา อิสราเอลทำได้ดีที่สุดในตอนนี้ คือ 2 ล้านโดส ใน 3 สัปดาห์ (หรือ 2.6 ล้านโด๊สต่อเดือน) ส่วนสหรัฐฯ ฉีดได้ 10 ล้านโดสในเดือนแรก อังกฤษทำได้ 2 ล้านโดส เช่นกัน 

สั่งการ สธ.วางแผนฉีดวัคซีน ให้ประชาชนปลอดภัยเร่งเปิดประเทศ

"ผมได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขเริ่มดำเนินการวางแผนงานการฉีดวัคชีนตั้งแต่ตอนนี้เป็นการเร่งด่วน เนื่องจากจำเป็นต้องมีการวางแผนการกระจาย การจัดส่งวัคซีน การรักษาความปลอดภัย ตลอดจนต้องตั้งศูนย์ฉีดวัคซีน เตรียมอุปกรณ์บุคลากร คือหมอและพยาบาล มีการลงทะเบียน การสอบถามอาการหลังฉีด ต้องจัดเตรียมสถานที่ฉีด และพักหลังการฉีด 15-30 นาที รวมทั้งการประเมินผล ไปจนถึงการติดตามให้มาฉีดโดสที่สอง ยังมีการเก็บข้อมูลของคนที่ฉีด และชนิดของวัคซีน"

พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่าจะเห็นว่าแผนการกระจายวัคซีนจึงมีความสำคัญมาก เป็นผลที่จะทำให้การฉีดวัคซีนได้ผลมากหรือน้อย และไม่เกิดความสูญเสียโดยไม่จำเป็น ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการ“แบบรวมศูนย์” เพื่อที่ว่าเมื่อได้วัคซีนมาจะได้เริ่มฉีดได้อย่างรวดเร็วและราบรื่นที่สุด

"ผมขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่า ประเทศไทยมีความพร้อมในการจัดหาวัคซีนและมีแผนฉีดวัคซีน ที่จะทำให้เกิดผลในการป้องกันการระบาดได้ โดยวัคซีนที่จะฉีดให้ประชาชน จะต้องได้ผลป้องกันโควิดได้ และปลอดภัยมากที่สุด ซึ่งจะทำให้เราสามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ เปิดประเทศได้โดยเร็วที่สุด"

ข่าวที่เกี่ยวข้อง