ไม่พบผลการค้นหา
สสจ.เชียงใหม่ ชี้แจงพาดพิงสถานการณ์โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่ระบาดในเมืองอู่ฮั่นของจีน ยืนยันยังไม่พบผู้ป่วยที่จังหวัดเชียงใหม่ ตามข่าวลือที่ออกมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์ คาดเป็นเพราะเชียงใหม่มีเที่ยวบินตรงจากอู่ฮั่นสัปดาห์ละ 3 เที่ยว

สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เชียงใหม่ แถลงชี้แจงกรณีที่มีข่าวลือว่าพบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบในจังหวัดเชียงใหม่ จากการติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งกำลังแพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่น มลฑลหูเป่ยของจีน โดยยืนยันว่า ยังไม่พบผู้ป่วยที่จังหวัดเชียงใหม่ตามข่าวลือที่เผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเชียงใหม่จะมีเที่ยวบินตรงจากอู่ฮั่นสัปดาห์ละ 3 เที่ยว แต่มีการดำเนินมาตรการคัดกรองอย่างเข้มงวด

นายแพทย์จตุชัย มณีรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ชี้แจงว่าขณะนี้ยังไม่มีรายงานการติดต่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จากคนสู่คนในประเทศไทย โดยที่ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ได้มีการติดตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย หรือเทอร์โมสแกน ซึ่งเป็นกล้องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายแบบไม่สัมผัส เพื่อคัดกรองผู้โดยสารที่เดินทางมาพร้อมสายการบินที่มีเที่ยวบินตรงจากเมืองอู่ฮั่นมายังจังหวัดเชียงใหม่ สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน

ที่ผ่านมามีการดำเนินการไปแล้วจำนวน 6 เที่ยวบิน รวมจำนวนผู้โดยสารที่ผ่านการคัดกรองทั้งสิ้น 711 คน ยังไม่พบผู้ที่มีอาการผิดปกติ ส่วนการคัดกรองที่โรงพยาบาลทุกแห่งในจังหวัดเชียงใหม่ พบผู้ป่วยสงสัย 2 ราย เป็นหญิงไทยไปทำงานที่จีน เดินทางกลับจากอู่ฮั่น-สุวรรณภูมิ แต่ผลการตรวจยืนยันพบเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ B

ส่วนเด็กหญิงชาวจีน อายุ 7 ปี เดินทางจากท่าอากาศยานอู่ฮั่น-เชียงใหม่ ผลการตรวจยืนยันพบว่าเชื้อ Rhinovirus และเชื้อปอดบวมที่พบได้ทั่วไป โดยการตรวจยืนยันเป็นการตรวจจากห้องชันสูตรมาตรฐานระดับประเทศ 2 แห่ง คือ โรงพยาบาลบำราศนราดูร และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

นพ.จตุชัยระบุด้วยว่า ข่าวลือเรื่องพบผู้ป่วยจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (H3N2) ที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ "เป็นข่าวเท็จ" เนื่องจากเชื้อไวรัส H3N2 เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่มีการระบาดประจำในประเทศไทย ไม่ใช่โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการดูแลเหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไป จึงขอให้ประชาชนทุกคนอย่าตื่นตระหนกกับข่าวที่ส่งต่อกันโดยไม่มีการอ้างอิงจากภาครัฐ และขอให้ทุกคนหยุดการปล่อยข่าวเท็จ หรืองดการแชร์หรือส่งต่อข่าวเท็จดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลเสียต่อจังหวัดเชียงใหม่ได้

ข่่าวที่เกี่ยวข้อง: