นายธีรยุทธ บุญมี นักวิชาการวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวในการเสวนา "POST COVID-19 กับอนาคตสังคมไทย" ว่า โควิด-19 ได้มอบคุณูปการให้คนไทยเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีความไว้วางใจและเชื่อใจซึ่งกันและกัน ถือเป็นขุมทรัพย์และคุณค่ามหาศาลที่สังคมไทยได้สร้างขึ้นมาเอง 4-5 เดือนจากความสูญเสีย จึงอย่าทิ้งขว้าง ควรรักษาและนำไปใช้ในทางที่เป็นคุณต่อไปเรื่อยๆ
โดยมองว่าทั่วโลกจะใช้เวลา 2- 3 ปีจะฟื้นตัว แล้วโลกค่อยกลับสู่ 'โลกาภิวัตน์' อีกครั้ง แต่ก่อนนั้นจะเกิดลัทธิชาตินิยม-อำนาจนิยมสุดขั้ว ที่แต่ละประเทศจะปกป้องผลประโยชน์ตนเองและคุกคามประเทศอื่นทั้งทางทหารเเละเศรษฐกิจ และอาจจะเกิดสงครามกลางเมืองในหลายประเทศ และเห็นว่า สำหรับไทยนั้น การเปิดรับนักท่องเที่ยวง่ายๆ เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ "เป็นความคาดหวังที่เกินจริง" ดังนั้นไทยต้องตั้งเป้าให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะทั้งโลกจะใช้เวลาฟื้นตัวยาวนาน ซึ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
นายธีรยุทธ เสนอว่า นอกจากไทยต้อง new normal ต่อไปอีก 2 ปีแล้ว ยังต้องมี "กระบวนทัศน์ใหม่ในทางเศรษฐกิจ" ไม่พึ่งพาการส่งออกและท่องเที่ยวมากเกินไปอย่างที่ผ่านมาหรือที่คาดหวังกัน แต่ต้องมุ่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ โดยการที่ภาครัฐใช้เงินกระตุ้นหรือเสริมสภาพคล่องที่ผ่านมานั้น ชนขั้นกลางได้ประโยชน์ ดังนั้น รัฐบาลต้องหาแนวทางช่วยเหลือคนชั้นล่างด้วย
นายธีรยุทธ กล่าวด้วยว่า การขยายตัวของไวรัสเป็นแบบทวีคูณ และประเทศที่แก้ปัญหาได้ทั้ง จีน, เวียดนามและไทย เป็นเพราะมีเจตจำนงค์ในระดับประชาชาติ ส่วนประเทศที่แก้ปัญหาโควิด -19 ไม่ได้ เกิดจากหลายปัจจัยทั้ง 1. ผู้นำไม่ดี 2. ความรู้การแพทย์ต่ำ 3. วัฒนธรรม อย่างชาติตะวันกับตะวันออกที่ต่างกัน 4. ความยากจนและความไม่พร้อมด้านสาธารณะสุข โดยคาดว่า ปลายปีนี้จะมีวัคซีน แต่ตัวเลขคนป่วยทั่วโลกจะมีถึง 30-40 ล้านราย และประเทศร่ำรวยจะได้วัคซีนก่อน ส่วนไทยน่าจะได้ใช้วัคซีนปลายปี 2564