จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แสดงความคิดเห็นต่อการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ ว่า การเปิดสมัยประชุมวิสามัญและการเสนอญัตติให้มีการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 26-27 ต.ค. มีแนวโน้มสูงมากที่จะทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
แทนที่เวทีรัฐสภาควรเป็นช่องทางให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อสร้างความเข้าใจและหาทางออก รัฐบาลไม่ควรไปทำให้การเปิดอภิปรายครั้งนี้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในสังคมมากขึ้น กระทั่งสร้างความเกลียดชังโกรธแค้นหรือยั่วยุให้เกิดการใช้ความรุนแรงต่อนักเรียนนักศึกษาประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐได้
ดูจากหัวข้อประเด็นที่รัฐบาลใช้เป็นเหตุผลและวัตถุประสงค์ในการเปิดอภิปรายแล้วจะเห็นได้ว่า รัฐบาลไม่ได้ต้องการรับฟังความเห็นที่แตกต่างหรือข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ในการคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้ง
แต่รัฐบาลได้มีข้อสรุปและการตัดสินไปหมดแล้วว่า นักเรียนนักศึกษาและประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยอยู่ในขณะนี้เป็นฝ่ายผิดที่จะต้องสกัดกั้นขัดขวางและทำลายความชอบธรรมให้ได้ การตั้งหัวข้อมีลักษณะเป็นการบรรยายข้อกล่าวหาโจมตีหรือแม้กระทั่งประณามนักเรียนนักศึกษาและประชาชนให้เป็นที่เกลียดชังมากกว่าเป็นการตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบหรือตั้งโจทย์เพื่อหาทางแก้
พล.อ.ประยุทธ์ พูดก่อนหน้านี้ว่าถอยคนละก้าว แต่กลับไม่ยอมหยุดคุกคามประชาชน ล่าสุดบอกต้องการใช้รัฐสภาเป็นช่องทางในการแก้ปัญหาและต้องการประนีประนอม แต่กลับกำลังจะใช้การเปิดอภิปรายทั่วไปครั้งนี้มาทำให้คนไทยด้วยกันเป็นศัตรูกัน สร้างความโกรธแค้นเกลียดชังที่อาจพัฒนาไปเป็นการใช้ความรุนแรงต่อนักศึกษาและประชาชนได้
ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาแบบนี้ ฝ่ายค้านมีจำนวนไม่ถึงหนึ่งในสาม เวลาที่พูดก็จะน้อย เมื่อรัฐบาลตั้งธงมาให้โจมตีทำลายทางการเมืองฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้แล้ว สังคมไทยจึงไม่อาจคาดหวังประโยชน์อะไรจากการเปิดอภิปรายทั่วไปครั้งนี้ได้เลย หาก พล.อ.ประยุทธ์กับพวกไม่เปลี่ยนแผนเสียใหม่ เท่ากับเขากำลังจะราดน้ำมันเข้ากองไฟ สร้างความเสียหายต่อบ้านเมืองมากยิ่งขึ้น