ไม่พบผลการค้นหา
อดีตพันธมิตรและ กปปส. เปลี่ยนใจเพราะพลังของข้อมูล จากนี้ขอยืนหยัดเลือกข้างประชาธิปไตยที่เป็นธรรม

ศุษมา สนศิริ วัย 42 ปี เห็นด้วยกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อปี 2549 และ กปปส.ปี 2557 ร้องเรียกให้ทหารออกมายึดอำนาจรัฐประหาร ทว่าหลังจากใช้ชีวิตภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เธอบอกว่า “ตาสว่าง ที่ผ่านมาฉันคิดผิด” 

ลูกสาวตำรวจ เกิดในครอบครัวข้าราชการ อ่านหนังสือพิมพ์ติดตามเหตุบ้านการเมืองตั้งแต่พฤษภาทมิฬ, พันธมิตร, นปช., กปปส. กระทั่ง ราษฎร วันนี้เธอประกาศแล้วว่า "ขอเลิกเป็นสลิ่มตลอดกาล


พ่อสอนให้เป็นเสรีนิยม แต่สังคมสอนให้รักเจ้า

ศุษมาเกิดที่ จ.ชลบุรี ก่อนเข้ามาศึกษาระดับมัธยมต้นที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างนั้นมีเหตุการณ์ต่อต้านรัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี จนนำไปสู่การสลายการชุมนุมที่เรียกว่า ‘พฤษภาทมิฬ’ มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และสูญหายเป็นจำนวนมาก

ในวัย 13-14 ปี ศุษมาติดตามข่าวสารตามคำแนะนำจากคุณพ่อที่เป็นข้าราชการตำรวจ

“พ่อเป็นเสรีนิยม หัวแข็ง ซื้อหนังสือพิมพ์อ่านวันละ 4 ฉบับ เราถามเขาว่าซื้อทำไม 4 ฉบับ พ่อบอกว่าอ่านไปก่อนเถอะ อ่านหัวข้อข่าว บทความและบอกพ่อหน่อยว่ามันเหมือนกันไหม” เธอเล่า

“เออจริง เราอ่านแล้วไม่เหมือนกัน พ่อเลยสอนว่า เวลาลูกรู้อะไรมาต้องชั่งใจ วิเคราะห์จากสิ่งที่แต่ละคนพูดและเอาประสบการณ์ของตัวเองบวกเข้าไปกับสิ่งที่ลูกเห็นจริงๆ แล้วค่อยเอาข้อมูลมาเก็บไว้ส่วนตัว”

เธอบอกว่าแม้จะอ่านหนังสือพิมพ์เพื่อรับรู้ข้อมูลข่าวสารแต่ก็เป็นเพียงไม่กี่ด้าน เมื่อสภาพสังคม บรรยากาศและแรงกดทับทางด้านวัฒนธรรม ทำให้เธอมีความเชื่อความศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และไม่กล้าที่จะตั้งคำถาม

“เราโตมาในยุคที่ในหลวงเหมือนเป็นพระพุทธรูป เป็นรูปเหรียญที่เขาทำมาเเจก มีความเชื่อเเละมองท่านเป็นแบบนั้น”

กปปส.jpg

ร่วมพันธมิตร ไล่ทักษิณ-เกลียดยิ่งลักษณ์ 

ทักษิณ ชินวัตร พาพรรคไทยรักไทย สร้างปรากฏการณ์ชนะการเลือกตั้ง 6 ม.ค. 2544 และสมัยที่สอง 6 กุมภาพันธ์ 2548 อย่างไรก็ตามในการดำรงตำแหน่งครั้งนี้ รัฐบาลทักษิณเผชิญกับการชุมนุมขับไล่จาก ‘พันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย’ ที่นำโดย สนธิ ลิ้มทองกุล กระทั่งต้องตัดสินใจประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 

ศุษมา เล่าว่าทักษิณนั้นป๊อปปูลามาตลอด สร้างความแปลกใหม่ในเชิงนโยบายและการบริหารประเทศ อย่างไรก็ตามท่าทีการให้สัมภาษณ์ ความมั่นใจ อีโก้ รวมถึงละเลยการปฏิรูปกองทัพ และข่าวลือต่างๆ นานา เช่น การคอร์รัปชัน เอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้อง การปฏิบัติต่อสถาบันฯ ได้กลายเป็นประเด็นให้กลุ่มพันธมิตรฯ นำไปโน้มน้าวใจผู้ฟัง

“ประเทศเราเขาร้อยเรียงเรื่องสถาบันกับศาสนาแบบแยกไม่ออก เราคิดถึงขนาดว่าถ้าสงสัยในหลวงจะเป็นบาปไหม นรกจะกินกบาลหรือเปล่า เมื่อถูกให้ข้อมูลว่าอีกฝ่ายคิดไม่ดีต่อสถาบัน ก็พากันหลีกเลี่ยงที่จะคุยกันเรื่องเหตุผล” เธอบอกว่าตั้งคำถามไม่ได้ เพราะมีกฎหมายกำหนด “เราห้ามพูด”

“ยิ่งสนธิให้ข้อมูล พวกเรายิ่งอินไปใหญ่จากพื้นฐานเดิมที่รักท่านมากๆ อยู่แล้ว” 

123946048_400460684658463_7521710233754362164_n.jpg

ศุษมาที่เคยโลดแล่นในวงการบันเทิง ผ่านงานเดินแบบและมิวสิกวิดีโอเพลง เล่าว่า อิทธิพลจากคนในวงการบันเทิงมีผลอย่างมากในการเชิญชวนเเละชี้นำให้ออกมาเรียกร้องต่อต้านทักษิณ

"โยนหินลงน้ำ น้ำมันกระเพื่อมเป็นอิมเเพค แล้วคนหนึ่งมีคอนเน็กชันเท่าไหร่ ทีนี้มากันเทียบเลย บางคนใส่เสื้อเน้นคำว่าอำมาตย์ ภูมิใจถึงขนาดนั้น"

สมัย กปปส. ‘ศุษมา’ สวมนกหวีดคล้องคอใส่เสื้อลายธงชาติ มั่นใจเกินร้อยว่าสามารถล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แน่นอน ด้วยการร้องเรียกให้ทหารออกมารัฐประหาร

“ไม่ต้องมีตรรกะเหตุผลก็ยึดโยงคนในม็อบได้ เราเชื่อความเป็นคนดีของตัวเราเอง ย้ำเตือนต่อเนื่องทุกเมื่อเชื่อวัน เราเสร่อถึงขนาดยอมตาย อันตรายที่ไหนก็พร้อมจะไป ถ้าจะตายก็อยากให้เพื่อนๆ ไปลือกันว่าเราจงรักภักดีปกป้องสถาบันแบบนี้”


ประยุทธ์ - สมศักดิ์ ทำตาสว่าง

ศุษมาวิเคราะห์ภาพรวมการถูกนิยามเป็น “สลิ่ม” ของหลายคนรวมถึงตัวเองว่าเป็นเพราะข้อมูล สภาพสังคมในอดีต ศาสนา และวัฒนธรรม ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ 

“ความคิดความรู้สึกถูกยึดโยงกับในหลวง ไม่ต้องสนใจเหตุและผล แค่รักก็เท่ากับถูกต้องแล้ว ในอดีตคนยุคเบบี้บูม เริ่มสร้างฐานะ สร้างเนื้อสร้างตัวจากเศรษฐกิจที่กำลังเจริญเติบโต สถาบันไม่ถูกตั้งคำถามเพราะทุกคนกินดีอยู่ดี แต่ตอนหลัง กระเเสโลกาภิวัฒน์ ข้อมูลรอบด้าน ทำให้ผู้คนเริ่มตั้งคำถาม”

คนที่ทำให้เธอตาสว่างคือ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการและผู้ลี้ภัยทางการเมือง และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี 

124373468_796453587841669_8330361734598730855_n.png

หญิงวัย 42 ปีเคยหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะปฏิรูปนำพาประเทศชาติให้เจริญ แต่สุดท้ายต้องผิดหวังจากความไม่ชอบมาพากล ทั้งการเอาพวกพ้อง อำนาจ ม.44 กฎหมายปิดกั้น ตรวจสอบไม่ได้ เศรษฐกิจตกต่ำ และสืบทอดอำนาจ เป็นต้น ขณะที่คู่ขนานกันสมศักดิ์ทำให้เธอได้ชั่งน้ำหนัก  

“พลังของข้อมูลเเละข้อเท็จจริงทำให้เราตาสว่าง เคยทะเลาะกับเพื่อนฝรั่ง เขาเอาเหตุผลมาสู้จนเราเเพ้ เราตอบเขาไม่ได้ เสียเพื่อนไปเพียบเลย” 


เปลี่ยนใจคนอย่างไรดี  

ศุษมาเห็นว่าโครงการที่ออกแบบมาเพื่อคนไม่กี่คน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม เทียบไม่ได้เลยกับนโยบายภาครัฐที่ประสบความสำเร็จในภาพใหญ่และยกระดับความเท่าเทียมให้กับผู้คน ซึ่งไม่ว่าจะชนชั้นใดก็ได้ประโยชน์ “เป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ” เธอบอก 

อดีตนางแบบสาว เห็นว่าวิธีคิดของบุคคลที่คลางแคลงระบอบประชาธิปไตยและสนับสนุนบทบาทของกองทัพ หรือที่ใครหลายนิยามว่า ‘สลิ่ม’ เปลี่ยนแปลงได้ 

“ถ้ามีเวลาเราก็พอพูดจาด้วยเหตุด้วยผลได้ เเต่บางคนต้องรอให้เขาไปหาข้อมูลเอง ซึ่งก็ยาก เเต่เราเชื่อว่ามันไม่มีใครเหนี่ยวรั้งยุคสมัยได้ จริงๆ พวกดาราเปลี่ยนง่าย เขาไม่ได้รับผลประโยชน์จากสถาบัน เเต่เขามีผลประโยชน์ส่วนตัวกับสลิ่มในยุคก่อนๆ” เธอกล่าว 

“ศัตรูของสถาบันไม่ใช่เยาวชน แต่เป็นกาลเวลา”

Recently Updated.jpg

ต่างๆ นานา 

  • ศุษมาทำงานด้านการโรงแรม และเพิ่งตกงานในช่วงก่อนโควิด-19 ที่ผ่านมา
  • เคยสะบัดหน้าหนี ยิ่งลักษณ์ ระหว่างที่อดีตนายกฯ ส่งใบปลิวหาเสียงให้เมื่อปี 2554
  • เรียนจบคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง 
  • เป็นอดีตนางแบบและนักแสดงมิวสิกวิดีโอ 
123660357_410529023289335_7816881877786570222_n.jpg124264387_3652840254775569_7603123575570969642_n.jpg123681968_680027199594790_253551913122266674_n.jpg


วรรณโชค ไชยสะอาด
ผู้สื่อข่าวสังคม Voice Online
118Article
0Video
0Blog