ศาลฟิลิปปินส์ตัดสินโทษจำคุก 40 ปีโดยไม่ได้รับการลดหย่อนโทษแก่ 5 คน จากตระกูลอัมปาตวน ตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในท้องถิ่นมากินดาเนา จังหวัดทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ จากเหตุการณ์โจมตีขบวนรถที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 58 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้สื่อข่าว 32 ราย อีกทั้งยังถูกตัดสินให้ต้องจ่ายเงินชดเชยตำนวนหลายล้านเปโซให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วย
คนที่ถูกตัดสินว่ามีความผิด ได้แก่ อันวาร์ อัมปาตวน ซีเนียร์, อันวาร์ อัมปาตวน จูเนียร์, อันวาร์ ซายิด อัมปาตวน รวมถึงพี่น้องอันดาล อัมปาตวน จูเนียร์ และซัลดี อัมปาตวน ส่วนดาตู ซายิด อิสลาม อัมปาตวน น้องชายคนที่ 3 รอดคดี อย่างไรก็ตาม ตระกูลอัมปาตวนปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และจะยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป
ส่วนผู้ที่ถูกว่าจ้างจากตระกูมอัมปาตวนให้สังหารหมู่ขบวนรถของนักการเมืองฝั่งตรงข้ามก็ได่รับโทษจำคุกกัน 6 - 10 ปี ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายก็หลุดคดี
คดีนี้ถูกมองว่าเป็นบททดสอบระบบยุติธรรมในประเทศ เนื่องจากตระกูลอัมปาตวน เป็นตระกูลที่มีอิทธิพลการเมืองอย่างมากในจังหวัดมากินดาเนา และในช่วงหลังมานี้กลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนในฟิลิปปินส์ก็แสดงความกังวลว่ามีการยกเว้นโทษให้กับนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลมากขึ้น
เหตุโจมตีขบวนรถในมากินดาเนา
ตระกูลมากินดาเนาครองพื้นที่ทางการเมืองเกือบทั้งหมดในมากินดาเนามาเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งมีเอสมาเอล มานกูดาดาตู หรือที่คนเรียกันว่า “โตโต้” คู่แข่งจากอีกตระกูลผู้ทรงอิทธิพล เข้ามาท้าชิงตำแหน่งผู้ว่าการจังหวัดมากินดาเนา
วันที่ 23 พ.ย. 2009 ขบวนรถที่มีภรรยา และญาติผู้หญิงขอโตโต้กำลังมุ่งหน้าไปลงทะเบียนเลือกตั้ง โดยมีผู้สื่อข่าวและคนทำงานด้านสื่อร่วมขบวนไปด้วยอีก 32 คน รวมผู้ร่วมขบวนทั้งหมด 58 คน แต่ลูกน้องของตระกูลอัมปาตวนได้ลักพาตัวทั้งหมดขึ้นไปบนเขาและยิงทุกคนเสียชีวิต พร้อมฝังรวมกันในหลุมศพหมู่
เหตุผลที่ญาติผู้ชายของโตโต้ไม่เดินทางร่วมขบวนรถนี้ก็เพราะเกรงว่าจะถูกโจมตี โดยโตโต้กล่าวว่า เขาไม่คิดว่าคู่แข่งของเขาจะโจมตีใส่ผู้หญิง โดยภรรยาของเขาถูกยิง 17 นัด ทั้งบริเวณหน้าอกและอวัยวะเพศ และเขาไม่อาจลืมเรื่องนี้ได้เลย
คดีนี้ใช้เวลายาวนานถึง 10 ปี มีการตั้งข้อหากับผู้ต้องสงสัยมากกว่า 100 คน รวมถึงสมาชิกตระกูลอัมปาตวน อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ต้องสงสัยอีกกว่า 80 คนที่ยังอยู่ระหว่างการหลบหนี ในจำนวนนี้มีทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและสมาชิกตระกูลอัมปาตวน นอกจากนี้ ยังมีพยานถูกสังหารต่อไปให้การอย่างน้อย 4 ราย ส่วนญาติจองผู้เสียชีวิตหลายคนเปิดเผยว่า ฝ่ายจำเลยพยายามเสนอเงินให้พวกเขาถอนฟ้องคดีนี้
ความเห็นจากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน
ด้านฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอทช์ ประจำภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า คดีนี้ควรจะนำไปสู่การดำเนินคดีการละเมิกสิทธิมนุษยชนในประเทศอย่างโปร่งใสมากขึ้น และทำให้ผู้นำทางการเมืองในฟิลิปปินส์มีมาตรการในการยุติการมี “กองทัพส่วนตัว” และกองกำลังติดอาวุธโดยที่มีรัฐสนับสนุน ซึ่งส่งเสริมการเมืองระบอบผู้นำกองทัพ
คณะกรรมการปกป้องผู้สื่อข่าว หรือ CPJ อธิบายว่า เหตุการณ์นี้เป็นการสังหารหมู่ผู้สื่อข่าวที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์ และปัจจุบัน ผู้สื่อข่าวในฟิลิปปินส์ก็ยังไม่ปลอดภัยนัก โดยฟิลิปปินส์อยู่ในอันดับ 10 ประเทศที่อันตรายที่สุดสำหรับผู้สื่อข่าว และผู้สื่อข่าวบางคนก็เผชิญกับการโจมตีบุคคลและการคุกคามบนโลกออนไลน์ จากการรายงานข่าววิจารณ์รัฐบาล
ที่มา : BBC, Rappler, CNN Philippines