เมื่อวานนี้ (24 ก.ย.61) นายเชิดชัย สนั่นศรีสาคร รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก แถลงข่าวหลังการหารือร่วมกับตัวแทนจากกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) และบริษัท ขนส่ง จำกัด(บขส.) เกี่ยวกับมาตรการรองรับกรณีที่มีการหยุดวิ่งของรถตู้โดยสารปรับอากาศร่วมบริการสาธารณะเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล
นายเชิดชัย ยืนยันว่า จะสามารถดูแลประชาชนไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนจากการที่รถตู้โดยสารบางส่วนจะครบอายุการใช้งาน 10 ปีในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ได้ เนื่องจากจะมีรถตู้ที่อายุการใช้งานครบ 10 ปีไม่ถึง 1,800 คันตามที่เป็นข่าว มีเพียงประมาณ 480 คันเท่านั้น
แบ่งเป็นรถตู้ที่วิ่งจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปยังเส้นทางต่างๆ 11 เส้นทาง จำนวน 260 คัน รถตู้ที่วิ่งจากมีนบุรีไปยังเส้นทางต่างๆ 7 เส้นทาง จำนวน 191 คัน รถตู้ที่วิ่งจากจตุจักร 1 เส้นทาง จำนวน 1 คัน และรถตู้ที่วิ่งจากรังสิต 1 เส้นทาง จำนวน 28 คัน
ขณะเดียวกันได้เตรียมรถโดยสารของ ขสมก.ไว้ทดแทนเพื่อให้บริการประชาชนในช่วงเช้าและเย็น โดยเฉพาะในพื้นที่ย่านอนุสาวรีย์ชัยฯและมีนบุรี และหาก ขสมก.เตรียมรถให้บริการไม่เพียงพอให้ประสานมายังกรมการขนส่งทางบก ในฐานะนายทะเบียน ซึ่งจะใช้อำนาจสั่งการให้สามารถใช้รถผิดประเภทได้
รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวอีกว่า กรมการขนส่งทางบกได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) กับ บขส. ธนาคารกรุงไทย และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาย่อม(บสย.) ภายใต้โครงการเปลี่ยนรถโดยสารประจำทางขนาดเล็กแทนรถตู้โดยสาร โดยมีวงเงินกู้ต่อราย 20 ล้านบาท ผ่อนชำระนานสูงสุด 7 ปี อัตราดอกเบี้ยต่ำสุด MRR-1.5%ต่อปี และสามารถใช้ บสย.ค้ำประกันเต็มวงเงินแทนการใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน รวมทั้งยังให้สินเชื่อเพื่อชำระค่าเบี้ยประกันภัยรถโดยสาร และประกันชีวิต วงเงินกู้โครงการรวม 2,000 ล้านบาทด้วย
พันเอกสมบัติ ธัญญะวัน รองผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ กล่าวว่า รถตู้ที่ครบกำหนดการใช้งาน 10 ปี ไม่สามารถนำมาใช้เป็นรถสาธารณะได้ เพราะสภาพรถทางกายภาพไม่พร้อม ขณะเดียวกันยังไม่ได้รับการประกันภัยจากกรมการประกันภัย ผู้โดยสารก็จะไม่ได้รับการคุ้มครองด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างมลภาวะบนท้องถนน จึงจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมรถตู้ที่มีอายุการใช้งานครบ 10 ปีเหล่านี้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :