มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ได้โพสต์แถลงการณ์ผ่านบัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัว ต่อกรณีที่สถาบันวิจัย เคมบริดจ์ แอนาลิติกา ทำข้อมูลของผู้ใช้งานเฟซบุ๊กกว่า 50 ล้านคนรั่วไหลและกำลังก่อให้เกิดวิกฤตความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างผู้ใช้งานกับเฟซบุ๊ก โดยซักเคอร์เบิร์กยอมรับว่าเฟซบุ๊กทำพลาดและก่อให้เกิดการละเมิดความไว้วางใจกัน ทั้งระหว่างเฟซบุ๊กกับสถาบันวิจัย เคมบริดจ์ แอนาลิติกา และระหว่างเฟซบุ๊กกับผู้ใช้งาน ซึ่งขณะนี้เฟซบุ๊กก็ได้เพิ่มมาตรการป้องกันไม่ให้ความผิดพลาดดังกล่าวเกิดขึ้นอีกในอนาคต
มาตรการที่เฟซบุ๊กนำมาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้นักพัฒนาแอปพลิเคชันนำข้อมูลผู้ใช้งานไปใช้ประโยชน์ได้ ก็มีทั้งการตรวจสอบแอปพลิเคชันที่มีการใช้งานที่น่าสงสัย และสั่งแบนแอปพลิเคชันที่ไม่ยินยอมให้มีการตรวจสอบ และในอนาคต เฟซบุ๊กจะเพิ่มมาตรป้องกันข้อมูลของผู้ใช้งานให้รัดกุมมากขึ้น ด้วยการจำกัดข้อมูลที่แอปพลิเคชันต่างๆจะขอจากผู้ใช้งานได้ ให้เหลือเพียง ชื่อ, รูปภาพ และอีเมล เท่านั้น และหากผู้ใช้งานไม่ได้เปิดใช้แอปพิเคชันนานติดกันสามเดือน แอปพลิเคชันนั้นก็จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานคนนั้นได้อีก
ซักเคอร์เบิร์กยังย้ำด้วยว่าการปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งานเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของเฟซบุ๊ก ซึ่งเฟซบุ๊กจะเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีกและช่วยสร้างสังคมผู้ใช้งานเฟซบุ๊กให้มีความปลอดภัยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์จำนวนมากมองว่าเฟซบุ๊กไม่มีความจริงใจในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน ทำให้ผู้ใช้งานส่วนหนึ่งตัดสินใจเลิกใช้เฟซบุ๊กด้วยการประกาศลบบัญชีเฟซบุ๊กของตัวเอง ก่อนที่จะเริ่มเป็นกระแสติดแฮชแท็กเรียกร้องให้ผู้คนลบบัญชีเฟซบุ๊กของตัวเองด้วย และกระแสดังกล่าวเริ่มได้รับความนิยมในหลายประเทศ
ภาพ: AP