ไม่พบผลการค้นหา
ผลสำรวจชี้ “เด็กไทยต้องการความรักก่อนความรู้” คาดหวังให้ครูเป็นที่พึ่ง เหตุพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ หนุน เปลี่ยน 201 โรงเรียน ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีความสุข

สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรี ยนรู้และคุณภาพเยาวชน(สสค.)ร่ วมกับ สกว. สพฐ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์จิตวิทยาการศึกษา มูลนิธิยุวสถิรคุณ มหาวิทยาลัยนเรศวร แถลงข่าวผลสำรวจ Gap ในห้องเรียนไทย พร้อมเปิดความสำเร็จโครงการsQip เปลี่ยนห้องเรียนไทยให้ เรียนสุข สนุกสอน

ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ หัวหน้าคณะวิจัยโครงการวิจัยปฏิ บัติการโรงเรียนพัฒนาคุณภาพต่อเ นื่อง คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากผลสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างนั กเรียนและครู ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และตัวแทนชุมชน กลุ่มตัวอย่างประมาณ 24,000 คน  โดยแบ่งเป็น นักเรียนชั้น  ป.6 ม.3 และม.6 จำนวน 10,000 คน กลุ่มครูจำนวน 4,000 คน กลุ่มผู้บริหาร 200 คน ผู้ปกครองจำนวน 9,000 คน จากโรงเรียนขนาดกลางจำนวน 110 แห่ง 

ทั้งนี้สำรวจพบว่า 4  เรื่องใหญ่ในมุมมองเด็กไทยที่มีผลต่อการเรียนคือ 1.เด็กๆอยากได้ความใส่ใจเป็นราย บุคคลจากคุณครูอย่างจริงจังมากกว่านี้ อยากมีครูคนโปรดที่สนิทเป็นพิเศ ษ มีครูที่ให้เวลาเขามาพูดคุยได้เ สมอ และอยากได้ความใส่ใจอย่างเท่าเที ยมไม่ลำเอียงจากครู 

 2. นิสัยและพฤติกรรมการเรียนของเด็ กยังต้องพัฒนาด้วย ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม การอ่านการค้นคว้า การทำการบ้าน ไปจนถึงการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน  

3.ครอบครัวให้เวลาใส่ใจกับการเรียนของเด็กน้อยไป 4. ความสัมพันธ์กับเพื่อน เช่น ความรู้สึกเป็นที่ยอมรับ การมีเพื่อนพูดคุยปรึกษาปัญหาต่ างๆ ไปจนถึงการที่เด็กๆ สามารถช่วยติวกันเองได้  

ส่วน 4 เรื่องใหญ่ในมุมมองของครูที่มีผลต่อการสอน 1. ครูไม่มั่นใจในความรู้ความสามาร ถของตนบางเรื่อง เช่น การสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศ ษ การวัดผลเพื่อพัฒนาผู้เรียน การปรับเทคนิคการสอนตามความต้อง การผู้เรียน

2.ปัญหาช่องว่างระหว่างผู้บริหา รที่ยังมีอยู่บ้าง เช่น การยอมรับในความสามารถ การเข้าถึง การรับฟัง การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น 3.ปัญหาความสัมพันธ์กับผู้ปกครอ งที่ครูไม่มั่นใจนัก ขาดความคุ้นเคยสนิทสนม 

4.ความสัมพันธ์ระหว่างครูด้วยกั นก็ยังมีเรื่องให้เติมเต็ม เช่น การช่วยเหลือระหว่างเพื่อนครูใน แง่แลกเปลี่ยนวิธีการสอน การพูดคุยปัญหาในห้องเรียนเพื่อพัฒนาร่วมกัน    

ส่วน 4 เรื่องใหญ่ในมุมของพ่อแม่ คือ 1.ไม่มีเวลาใส่ใจการเรียนลูก 2.รู้สึกห่างเหินจากโรงเรียน ไม่มีส่วนร่วมกิจกรรมต่างๆ 3.ความมั่นใจต่อโรงเรียนในบางเรื่ องก็ได้รับผลกระทบ 4.ความมั่นใจในการสอนของครูลดน้อยลง

ดร.อมรวิชช์ กล่าวว่า การสำรวจยังพบช่องว่างระหว่างครู และนักเรียนที่เป็นปัญหาใหญ่อันดับต้นๆ ได้แก่ 1.ครูปฏิบัติต่อนักเรียนทุกคนอย่างเท่าเทียม 2.การรู้จุดเด่นหรือความสามารถข องนักเรียนรายคน

 3. การให้เวลาพูดคุยหรือปรึกษาปัญห ากับนักเรียน  ส่วนช่องว่างระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครองที่เป็นปัญหาอันดับต้นๆ ได้แก่ 1.การถูกกลั่นแกล้งรังแกในโรงเรียน 

2.การพูดคุยเล่าปัญหาระหว่างผู้ปกครองและบุตร 3.การให้เวลาช่วยบุตรหลานทำการบ้ านช่องว่างระหว่างครูกับผู้ปกครองที่เป็นปัญหา ได้แก่ 1.การให้เวลาพูดคุยและปรึกษาปัญหา 2.การรู้จุดเด่นและความสามารถของผู้เรียนรายคน 

ส่วนในเรื่องระหว่างครูกับผู้บริหาร ได้แก่ 1.การยอมรับในความสามารถของครู 2.การให้โอกาสครูในการมีส่วนร่ว มต่อการบริหาร   

 “ผู้ปกครองที่มีระดับความผูกพันต่อเรื่องการมีเวลาช่วยลูกทำการบ้านต่ำสุดทำให้ ยิ่งชี้ชัดว่าในยุคนี้ เด็กๆต่างหวังเพิ่งครูค่อนข้างมาก อยากที่จะสนิทสนม มีครูเป็นที่ปรึกษา ทั้งเรื่องการเรียนและจิตใจ เพราะครอบครัวไม่มีเวลาให้”   

นายนคร ตังคะพิภพ หัวหน้าโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติ การโรงเรียนพัฒนาคุณภาพต่อเนื่อ ง หรือ sQip กล่าวว่า ข้อค้นพบเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใ หม่ในวงการศึกษาไทย แต่เป็นประเด็นสำคัญที่สังคมควร แลกเปลี่ยนและหาทางออกที่ยั่งยืนร่วมกัน จึงสนับสนุนโรงเรียนขนาดกลางจำนวน 201 โรงใน 14 จังหวัดทั่วประเทศในอนาคตจะเป็น พื้นฐานการยกระดับคุณภาพต่อเนื่องให้โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีความสุข ด้วยแนวคิด ห้องเรียนเป็นฐาน กระบวนการเป็นทุน มีปัจจัยหนุน 4 ด้าน พ่อแม่ ครู นักเรียน โรงเรียน  

โดยโครงการเข้าไปสนับสนุนให้เกิดกระบวนการพัฒนา 2 ด้าน คือ สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิ ชาชีพ หรือPLC ของโรงเรียน และสร้าง Growth Mindset หรือกรอบคิดแบบเติบโต ให้กับบุคลากรในโรงเรียน

ทั้งนี้ความสำเร็จ 1 ปีที่ผ่านมา ทุกโรงเรียนสามารถนำกระบวนการ PLC และGrowth Mindset ไปใช้อย่างได้ผล โดยโครงการหนุนการพัฒนาผู้บริหา รโรงเรียนและครูจำนวน 2,990 คน  ผลการประเมินมีศักยภาพทั้งสองด้านสูงขึ้นร้อยละ 96.7 มีการรวมกลุ่มครู PLC หลายรูปแบบเพื่อพัฒนาการเรียนกา รสอนทั้ง 201 โรงเรียน เกิดห้องเรียนsQip ซึ่งเป็นห้องเรียนต้นแบบ “เรียนสุข สนุกสอน” สามารถขยายผลเป็นต้นแบบเรียนรู้ ไปทั่วประเทศ     

“ด้วยโมเดล เรียนสุข สนุกสอน ปลายทางของทั้ง 201 โรงเรียนจะเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ มีความสุข ที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ เพิ่มผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเ รียน เพิ่มโอกาสชีวิตและอาชีพ ครูมีขีดความสามารถสูงขึ้นต่อเนื่ อง ชุมชนก็จะศรัทธาในโรงเรียน ”  นายนครกล่าว

ในมุมมองของครู ก็เผชิญปัญหาการสอนไม่แตกต่างกัน  นางณิชนันทน์ ศรีวลีรัตน์ อาจารย์กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ โรงเรียนไทรโยคน้อยวิทยาคม   1ในต้นแบบห้องเรียน sQip “เรียนสุข สนุกสอน” กล่าวว่า   ยอมรับว่าเจอปัญหาในการสอนอยู่ตลอด เพราะนักเรียนแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน แต่จะไม่เลือกปฏิบัติ ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครู ครูกับเด็กต้องมีความรักและความ อาทร เป้าหมายต้องทำให้เด็กทุกคนได้ความรู้

ส่วนเทคนิคการสอนที่ช่วยเปิดโลกทัศน์เปิดใจให้เด็กเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง เครื่องมือสำคัญที่ช่วยได้คือ การมีGrowth Mindset และ ชุมชนPLC ระหว่างเพื่อนครูที่เข้มแข็งเพราะบางครั้งบางปัญหาเรามองไม่ เห็นแต่ครูคนอื่นมองเห็น

ขณะที่ นักเรียนสะท้อนการเรียนการสอน โดยนางสาวสุนิสา เสรีรัตน์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนไทรโยคน้อยวิทยาคม กล่าวว่า ยอมรับว่า ช่องว่างระหว่างครู นักเรียนยังมีอยู่มาก วิธีการสอนแบบเดิมๆ ไม่ได้ทำให้ใกล้ชิดขนาดนี้ รู้สึกเกร็ง ไม่สนิท เมื่อคุณครูเปลี่ยนวิธีการสอนแ บบใหม่ ใช้เกมส์หรือกิจกรรมเข้ามาเสริม ทำให้รู้สึกสนุกกับการเรียน สนิทกับครูมากขึ้น เจอหน้าไม่เครียด ไม่อึดอัด กล้าที่จะพูดคุย ซักถามสิ่งที่ไม่เข้าใจ จากเดิมที่เพื่อนคือสิ่งที่ทำให้ อยากมาโรงเรียน แต่ตอนนี้ทัศนคติเปลี่ยนแปลงไป วิชาที่เรียนแต่ละวัน ��ุณครู และกิจกรรมในโรงเรียน ทำให้อยากมาโรงเรียนเพราะสนุกแล ะมีความสุขที่ได้เรียน