พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ประจำวันศุกร์ที่ 2 พ.ย. 2561 ตอนหนึ่งว่า ขณะนี้กำลังมีวาทกรรมในแง่ลบกับบ้านเมืองของเรา เช่น บางคนใช้คำว่า "คนจนมากๆ หมดตัวแล้ว" จริงหรือไม่ ความจริงคืออะไร ต้องช่วยกันหาคำตอบ ตั้งคำถามกับตัวเองด้วย ถ้าไม่มีเงิน หรือเงินไม่พอใช้ ไม่พอเที่ยว ไม่พอใช้จ่าย ซื้อของแพง ต้องพิจารณาว่าเราจะทำอะไร เพราะความต้องการของมนุษย์ไม่มีขีดจำกัด เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาว่าเรานั้นประกอบอาชีพอะไร ได้มีการปรับเปลี่ยนอะไรไปบ้างหรือยัง
จากอดีตที่เคยทำแล้วได้เงิน วันนี้มีปัญหาหลายอย่าง ทั้งเศรษฐกิจระดับบน ระดับกลาง ระดับล่าง เชื่อมโยงกันทั้งหมด ทั้งในประเทศ นอกประเทศด้วย จึงต้องมีการรวมกลุ่ม มีการเรียนรู้ มีการพัฒนาตนเอง หาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อแก้ปัญหาเดิม ๆ ถ้าเราทำตามเดิม ขณะที่โลกเปลี่ยน เราไม่ปรับ สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป เราจะเป็นอย่างไรต่อไป สำหรับพี่น้องเกษตรกรที่ผลิตผลบางชนิดช่วงนี้ราคาตกต่ำ รัฐบาลทราบดี ก็พยายามเต็มที่ เราก็ต้องส่งออกเป็นส่วนใหญ่ ที่เหลือเกินที่จะใช้ภายในประเทศ บริโภคภายในประเทศ ความหมายก็คือเราต้องพึ่งพาราคาตลาดนอกประเทศมาพิจารณาด้วย
ดังนั้น ในเรื่องของ Demand - Supply เรื่องของความต้องการ กับการผลิตนั้นเป็นสิ่งสำคัญ จึงได้แสวงหาความร่วมมือมาระยะหนึ่งแล้ว คือการส่งเสริมการรวมกลุ่ม, การตั้งสหกรณ์, ทำเกษตรแปลงใหญ่, เกษตรควบวงจร, ตลาดประชารัฐ, สินเชื่อชะลอการขาย, ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปล���กพืชเหล่านี้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งของเกษตรกร ขจัดปัญหาการถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง แล้วก็ไปสร้างธุรกิจ ในเรื่องของโลจิสติกส์เพิ่มเติมมาด้วย โดยเกษตรกร หรือไม่ใช่เกษตรกร ก็ไปอยู่ในวงจรต่าง ๆ เหล่านี้ จะได้ไม่ไปหาว่าคนกลางมาเอารัดเอาเปรียบได้อีกต่อไป เป็นการแข่งขันในเรื่องราคา เราทำเอง เราส่งเอง การที่ให้คนอื่นมาซื้อไป รับซื้อไป อันไหนดีกว่ากันต้องคิดเอา อย่าคิดว่า เพราะรัฐบาลนี้ทำให้ทำมาหากินได้ยากขึ้น รัฐบาลพยายามจะปลดล็อก หาวิธีการที่เหมาะสม ต้องใช้เวลาขอให้่อดทนกันสักนิด
อีกเรื่องคือการใช้จ่ายในระดับล่าง บางคนก็เคยได้รับเงินมาง่าย ๆ ที่ว่ามาแล้ว จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม บางทีก็ใช้เงินที่ได้มาง่าย ไปง่าย ๆ เหมือนกัน ไม่คิดตรึกตรอง ไม่คิดหน้าคิดหลัง ไม่ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาพิจารณา ความมีเหตุมีผล ความพอประมาณในการใช้จ่าย มีความรู้อะไร จะประหยัดได้อย่างไร เราจะซื้อของอย่างไรที่ราคาถูกและมีคุณภาพ วันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ต้องใช้ในเรื่องของออนไลน์ เรื่องดิจิตอล เรื่องต่าง ๆ ให้เป็นประโยชน์ ร้านค้าบางร้านค้าเคยขายอยู่กับร้านนั้นอยู่แล้วก็มีคนมาซื้อ วันนี้เขาไปซื้อกันออนไลน์ ทางร้านค้าปกติก็บ่นกันมาว่า รัฐบาลนี้ทำให้ออนไลน์ก้าวหน้าเกินไปจนเขาขายของไม่ได้ ร้านค้าต้องติดตามไปด้วย โดยสามารถที่จะไปขายออนไลน์ได้
วาทกรรมที่ 2 คือเรื่องของการ “เอื้อประโยชน์ ดูแลแต่เศรษฐกิจรายใหญ่ ร่ำรวย มีเงินทอน” ขอเรียนว่า มีหลายกลไก มีการตรวจสอบ ไม่ว่าจะเรื่องของการจัดทำโครงการ การทำสัญญา การจัดทำทีโออาร์ การประกาศเข้ามาประมูลอะไรต่าง ๆ มีกฎหมายทุกตัว มีหน่วยงานตรวจสอบมากมาย เพราะฉะนั้นถ้าพูดกันไปโดยไม่รู้จริง ก็ทำให้เกิดความเสียหาย ที่มันดีแล้วก็เลยไม่ดีไปด้วย ที่ไม่ดีอาจจะมีอยู่บ้าง ทุจริตก็ต้องดำเนินการต่อไป วันนี้ลงโทษไปเยอะพอสมควร เราต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันว่า เศรษฐกิจของประเทศนั้นมีทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีระดับล่าง ระดับกลาง ระดับบน โยงกันทั้งหมด ถ้าเศรษฐกิจต่างประเทศไม่ดีมาตรการในเรื่องของการกีดกันทางการค้าก็เกิดขึ้น ก็จะมีผลกับตลาดภายนอกประเทศ มีผลต่อการลงทุน มีผลต่อความเชื่อมั่น ซึ่งในการลงทุนต่าง ๆ ของเรานั้น ทั้งรูปแบบเอกชน บริษัท นิติบุคคล ห้างร้านต่าง ๆ ก็มีคนไทยทั้งสิ้นอยู่ในห่วงโซ่ดังกล่าวนั้น มีผลกระทบทั้งสิ้น รายได้ รายรับ ต่าง ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไป มากขึ้นบ้าง น้อยลงบ้าง ก็เป็นไปตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกไปด้วย
วาทกรรมที่ 3 “ไม่มีที่ดิน ที่อยู่อาศัย เป็นของตนเอง” เพราะฉะนั้นต้องไปดูสิว่า บางคนเคยมีที่ดิน แต่ถูกสัญญาเอารัดเอาเปรียบ รัฐก็เร่งออกกฎหมายขายฝาก เพื่อขจัดจุดอ่อน ช่องว่างกฎหมายในอดีต รวมทั้งลดเงื่อนไขหนี้นอกระบบ ที่เป็นสาเหตุให้พี่น้องเกษตรกรต้องสูญเสียที่ดินทำกิน ต้องมาเช่าที่ดินเก่าของตนทำกิน บางคนก็ไม่เคยมีที่ดินเป็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นที่ดินทำกิน หรืออยู่อาศัย รัฐบาลนี้ก็สร้างกลไกการทำงาน เช่น คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ธนาคารที่ดิน เพื่อจะกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม บางคนก็มีลูกหลานเยอะ ภาระครอบครัวก็มาก
รัฐบาลพยายามอย่างยิ่งที่จะเข้าไปดูแลให้ทั่วถึง รวมทั้งในเรื่องของการจัดหาที่อยู่อาศัยของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อจะลดความเหลื่อมล้ำ กรณีใดที่ง่าย รัฐบาลก็สามารถแก้ไขได้ในทันที กรณีที่ยากซับซ้อน หลายหน่วยงานก็คงต้องใช้เวลาอยู่บ้าง ผมก็คาดหวังและเป็นกำลังใจให้ทุกคน ให้ความร่วมมือ เข้ามาร่วมในโครงการพัฒนาต่าง ๆ สำคัญที่สุดคือต้องรับฟัง รับรู้ เพื่อจะหาโอกาสในการสร้างงาน เสริมอาชีพในพื้นที่ จนกว่าเราจะพึ่งพาตนเองได้ เน้นการสร้างความเข้มแข็ง ในระดับชุมชน เป็นกลุ่ม
วาทกรรมสุดท้าย ก็อาจจะมีคนพูดว่า “รัฐบาลนี้ ไม่ได้ปฏิรูปอะไรเพื่อใครเลย” ส่วนตัวไม่อยากจะโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์มากนัก ทุกคนน่าจะพอทราบอยู่แล้วบ้าง ต้องไปดูว่าใครได้อะไร ใครยังไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้จะต้องแก้ไขอะไร ปรับปรุงตัวเองอย่างไร รัฐบาลพยายามดูแลอย่างเต็มที่ ในหลาย ๆ มิติด้วยกัน ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากทางราชการอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ช่องทางที่ท่านติดตามข่าวสารที่เชื่อถือได้อยู่ตรงไหน ในเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรดิน น้ำของประเทศ ให้เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย มีที่ดินทำกิน มีแหล่งน้ำไว้กิน ไว้ใช้ ไว้ปลูกพืช ตลอดทั้งปี การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม เช่น ทางราง ที่เราแทบจะไม่มีการลงทุนเพิ่มเติมมาเป็นเวลากว่า 100 ปีมาแล้ว ที่เป็นรูปธรรม วันนี้เราเร่งสร้างรถไฟทางคู่ให้เป็นทางเลือกในการเดินทางของผู้มีรายได้น้อย ช่วยลดการจราจรโดยเฉพาะช่วงเทศกาล ลดอุบัติเหตุได้ด้วย ลดต้นทุนการขนส่งสินค้า และส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักของประเทศอีกทางหนึ่ง
ที่สำคัญของทุกการปฏิรูป คือ การที่เราจะต้องแก้กฎหมายเดิม ออกกฎหมายใหม่ ให้เป็นสากล สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน ซึ่งต้องผ่านการสำรวจความคิดเห็นจากประชาชนไปด้วย ตามมาตรา 47 ของรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านมาสามารถแก้ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย (IUU), การบินพลเรือน (ICAO), การค้ามนุษย์ และการค้างาช้าง (CITES) ก็ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศดีขึ้น ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายขายฝาก, กฎหมายไม้มีค่า ภาษีที่ดิน เหล่านี้เป็นต้น จะส่งผลกระทบกับเราทุกคนในอนาคตในทางที่ดีขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่ความสนใจของแต่ละคนนั้นย่อมแตกต่างกัน ส่วนใหญ่ก็จะติดตามข่าวสารในสิ่งที่กระทบกับสิทธิของตนเองเป็นหลัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบ้านเมืองของเรายังไม่มีการปฏิรูปหรือเปลี่ยนแปลงเลย ต้องมองในภาพรวมไปด้วย ก็ขอความเป็นธรรมกับรัฐบาลบ้าง ให้กำลังใจบ้าง เราต้องดูแลคนทั้งประเทศและทุกมิติ ทุกปัญหา
ช่วงนี้ อีกเรื่องหนึ่งก็อยากจะขอความร่วมมือครับ จะเห็นได้ว่าการเมือง การเลือกตั้ง ก็กำลังจะใกล้เข้ามาแล้ว อย่าให้วุ่นวาย สับสน อีกเลยนะครับ ประชาชนอาจจะมีภูมิคุ้มกันที่ไม่มากพอ หลายคนอาจจะพูดเพื่อไปสู่การเลือกตั้ง ให้ได้รับเลือกอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ มีการติติงว่ากันไป-มา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ประชาชนบางคนก็ชอบดู ชอบฟัง แล้วก็พูดต่อ โพสต์ต่อ บางทีไม่ได้รู้ว่าถูกหรือไม่ถูก บางทีก็สนุกดี แต่ท้ายที่สุดแล้ว ประเทศจะเป็นผู้ที่ได้หรือเสีย ประชาชนก็จะตามมา "you get what you do" เพราะฉะนั้นที่สุดนี้เราก็ต้องเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งอยู่แล้ว ก็ต้องหาคนที่ทำงานจริง ทำงานเป็น ทำงานได้ ไม่ใช่เพียงแต่ว่าได้ทำ แล้วทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จ