ไม่พบผลการค้นหา
การพูดคุยเรื่องผู้อพยพและผู้ลี้ภัยมักมีข้อโต้แย้งว่าผู้อพยพและผู้ลี้ภัยจะเข้ามาสร้างภาระรอรับเงินช่วยเหลือจากรัฐเพียงอย่างเดียว ทีมงานวอยซ์ออนไลน์ได้พูดคุยกับ ยาคอบ พรูส ผู้กำกับชาวเยอรมนีมือรางวัลผู้สร้างภาพยนตร์สารคดีเรื่อง When Paul Came Over The Sea ก็จะได้เห็นว่าผู้อพยพและผู้ลี้ภัยต้องพยายามดิ้นรน เพื่อก้าวต่อไปในชีวิตอย่างยากลำบาก

ช่วงนี้ การเมืองเยอรมนีกำลังอยู่ในช่วงตึงเครียด เมื่อความเห็นเกี่ยวกับเรื่องผู้อพยพและผู้ลี้ภัยไม่ตรงกันระหว่างคนภายในรัฐบาลกันเอง จนทำให้รัฐบาลต้องสั่นคลอน เพราะพรรคอนุรักษ์นิยมไม่พอใจนโยบายเปิดรับผู้ลี้ภัยของนางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี จนรัฐมนตรีต่างขู่จะลาออกจากตำแหน่ง นางแมร์เคลจึงต้องยอมคุมเข้มบริเวณชายแดนติดกับออสเตรีย เพื่อไม่ให้คนที่ขอสถานะผู้ลี้ภัยในประเทศอื่นในอียูเข้าไปในเยอรมนีได้

เมื่อมองเรื่องผู้อพยพและผู้ลี้ภัยในภาพใหญ่ มักทำให้เรามองไม่เห็นแง่มุมความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ยาคอบ พรูส ผู้กำกับเยอรมันมือรางวัลจึงเลือกที่จะเล่าเรื่องของผู้อพยพเพียงคนเดียว เพื่อให้เราได้เข้าใจถึงชีวิตของของผู้อพยพอย่างลึกซึ้ง โปรเจคนี้ทำให้เขาได้รู้จักกับพอล ชายชาวแคเมอรูนที่พยายามจะหนีความยากจนในแอฟริกาเข้าไปยังยุโรปด้วยการเสี่ยงชีวิตนั่งเรือข้ามทะเลไปยังยุโรป จนเป็นที่มาของชื่อภาพยนตร์ When Paul Came Over The Sea ภาพยนตร์ได้ฉายให้เห็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของพอลเมื่อครั้งยังอยู่แอฟริกา ซึ่งแปรเปลี่ยนไปเป็นแววตาแห่งความอิดโรยเมื่อเวลาผ่านไปโดยที่เขายังเสี่ยงที่จะถูกส่งตัวกลับประเทศได้ทุกเมื่อ


ความกังวลใจของคนภายในประเทศที่รับผู้อพยพและผู้ลี้ภัยมักวนอยู่กับเรื่องที่ว่า ผู้อพยพและผู้ลี้ภัยจะเข้าไปก่ออาชญากรรมภายในประเทศ แต่ข้อมูลทางการล่าสุดเพิ่งระบุว่า อัตราการเกิดอาชญากรรมในเยอรมนีต่ำสุดในรอบ 30 ปีทั้งที่รับผู้อพยพและผู้ลี้ภัยเข้าไปในประเทศจำนวนมาก และแม้จะมีคนจำนวนมากที่ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมเยอรมนีได้ แต่ภาพยนตร์ทำให้เห็นว่าการปรับตัวไม่ได้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่พยายามจะปรับตัว แต่การปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ก็มีอุปสรรคมากมายอย่างที่เราไม่อาจนึกถึง

ภาษาเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้ผู้อพยพและผู้ลี้ภัยปรับตัวให้เข้ากับสังคมเยอรมนีได้ยาก แต่การเรียนภาษาเยอรมันก็ต้องใช้เงินทุน ในขณะที่ผู้อพยพและผู้ลี้ภัยก็จำเป็นต้องหางานเลี้ยงชีพตัวเองไปด้วย พรูสอธิบายว่า การปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่เป็นเรื่องท้าทายมากสำหรับทั้งผู้อพยพและรัฐบาลเอง

“หากคุณได้รับการยอมรับสถานะผู้ลี้ภัย คุณจะได้เข้าคอร์สเรียนภาษาเยอรมัน แต่ถ้าคุณเหมือนพอลที่ถูกปฏิเสธคำขอลี้ภัย คุณก็ไม่ได้เข้าคอร์สภาษาของรัฐบาล เพราะคุณควรต้องออกจากประเทศ คุณก็ต้องหาทางดิ้นรนเอง ในกรณีของพอล พ่อของผมช่วยเหลือค่าเรียนภาษาเยอรมัน แต่คนอื่นต้องหาทางอื่น รัฐบาลมีคอร์สภาษาสำหรับชาวซีเรียที่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัย แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ไม่ได้รับสถานะ

แม้แต่ผู้ลี้ภัยที่ถูกกำหนดว่าต้องเรียนภาษา พวกเขาก็มีจำนวนมาก และรัฐไม่สามารถจัดการให้ได้ครอบคลุมกับความต้องการได้ ครูสอนภาษาก็ไม่พอ ครูที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษก็ไม่พอ อย่างที่ผมบอกไปในภาพยนตร์ว่า หลายคนที่อพยพมายุโรปไม่ได้ไปโรงเรียนมานานแล้ว สำหรับพวกเขา มันเป็นประสบการณ์ใหม่ บางทีเป็นเรื่องยากที่จะโน้มน้าวให้พวกเขามาเรียนภาษาอย่างสม่ำเสมอ เพราะการเรียนภาษาเป็นเรื่องยาก อีกทั้งยังต้องหาเลี้ยงชีพตัวเอง การปรับตัวให้ผู้ลี้ภัยเข้ากับสังคมได้เป็นเรื่องท้าทายมากสำหรับทุกประเทศ และเป็นเรื่องท้าทายใหญ่ของเยอรมนีเหมือนกัน”

สิ่งที่พรูสฝากไว้ให้คนดูได้คิดก็คือผู้อพยพมีสถานะที่คลุมเครือผู้ลี้ภัยมาก รัฐบาลหลายประเทศ รวมถึง เยอรมนีเองไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการจัดการกับผู้อพยพ ทำให้คนเหล่านี้อยู่ท่ามกลางช่องว่างทางกฎเกณฑ์ พวกเขาไม่อาจขอสถานะผู้ลี้ภัยเพราะไม่ได้มาจากประเทศที่มีสงครามอย่างซีเรีย แม้เหตุผลที่ชาวแคเมอรูนและอีกหลายประเทศต้องอพยพหนีความยากจนไปยังยุโรปก็เพราะประเทศเคยผ่านสงครามมาอย่างยาวนาน จนประชาธิปไตยอ่อนแอ มีการคอร์รัปชันเป็นวงกว้าง

แม้เยอรมนีจะมีนโยบายเปิดกว้างต่อผู้อพยพและผู้ลี้ภัย แต่พรูสมองว่าเยอรมนียังมีประสบการณ์น้อยมากในการรับมือเรื่องนี้ และอาจต้องศึกษาเรื่องการรับผู้อพยพเข้าสู่สังคมจากประเทศยุโรปใต้

“ยุโรปเหนือ รวมถึงเยอรมนีมีแนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการ คุณได้เงิน หากคุณว่างงาน หากคุณเป็นผู้ลี้ภัย แต่ประเทศทางตอนใต้หลายประเทศอยู่ในวิกฤต พวกเขาไม่สามารถจ่ายเงินส่วนนี้ได้ ดังนั้น ผู้อพยพหลายคนที่รู้ว่าเขาไม่มีทางได้รับสถานะผู้ลี้ภัย มันไม่มีประโยชน์ที่จะไปขอ เพราะคุณจะไม่ได้สิทธิประโยชน์อะไร คุณแค่เสียเวลาและคุณจะถูกปฏิเสธ รัฐบาลประเทศเหล่านี้จะบอกว่า เราไม่มีเงิน คุณต้องออกจากประเทศไป แต่เรารู้ว่าคุณจะไม่ออก ถ้าคุณปรับตัวให้เข้ากับสังคม หางานได้ เลี้ยงตัวเองได้ ไม่มีประวัติอาชญากรรม อย่างในสเปน หากทำได้ 3 ปี สเปนจะอนุญาตให้อาศัยในประเทศอย่างพลเมืองได้

มันไม่ง่ายอย่างที่ผมอธิบายหรอก แต่มันก็ง่ายกว่าในเยอรมนีมาก เป็นเหตุผลว่า ผู้อพยพจำนวนมากต้องการอยู่ในสเปนตั้งแต่ต้น แต่ก็ที่นั่นก็ไม่มีงานให้ทำ คุณจะได้ใบอนุญาตให้อาศัยอยู่ในประเทศได้อย่างไร หากคุณหางานทำไม่ได้ แล้วในช่วง 3 ปีนี้จะอยู่อย่างไร ผู้อพยพจึงต้องเดินทางไปยังประเทศที่มีโอกาสจะหางานทำได้มากกว่าอย่างเยอรมนี

ที่ผ่านมา เยอรมนีไม่เคยเป็นประเทศที่รับผู้อพยพมากมาก่อน ไม่เหมือนสวีเดนที่มีประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ว่ารับผู้อพยพและผู้ลี้ภัย พวกเขามีระบบสอนภาษา ขั้นตอนมันก็ยุ่งยากอยู่ แต่ก็ต้องบอกขั้นตอนให้ชัดเจน พวกเขาก้าวหน้าอย่างมากในเรื่องนโยบายรัฐ วิธีการปรับให้ผู้อพยพเขากับสังคมได้ พูดภาษาได้ และยังเก็บรักษาตัวตนของตัวเองไว้ ผมว่าเยอรมนีต้องเรียนรู้อีกมาก แต่ในยุโรป โดยทั่วไปแล้ว มีเรามีปัญหาใหญ่มากที่เราไม่มีนโยบายร่วมกันเกี่ยวกับเรื่องนั้น”

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไทยและอีกหลายประเทศควรจะเรียนรู้จากเยอรมนีก็คือ การใช้ระบอบประชาธิปไตยในการถกเถียง ขับเคลื่อนและต่อสู้เพื่อประเด็นทางสังคมและการเมือง รวมถึงการทบทวนและเรียนรู้ประวัติศาสตร์การเมืองของตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มหัวสุดโต่งขึ้นมาชักจูงคนส่วนใหญ่ให้ต่อต้านคนกลุ่มน้อย

“สิ่งที่เคยเกิด���ึ้นในเยอรมนีคือ เราเคยมีรัฐบาลเผด็จการที่ใช้วาทกรรมแบบพวกขวาจัด ซึ่งนำไปสู่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ พรรคอนุรักษ์นิยมที่ไม่ใช่พรรคขวาจัด กลัวพวกขวาจัดมาก จึงพยายามแยกตัวเองออกจากพวกขวาจัด แม้จะมีคนเพียงร้อยละ 15 เท่านั้นที่ลงคะแนนให้พวกนี้ มันมากเกินไปด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ถือว่าเยอะมาก เพราะยังมีอีกร้อยละ 85 ที่ลงคะแนนให้กับพรรคฝ่ายประชาธิปไตย

จริงๆ เยอรมนีเป็นประเทศที่แบ่งขั้วกันมาก มีทั้งคนที่สนับสนุนการรับผู้อพยพมองว่าเป็นภาระหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือและเราจะแก้ปัญหาไป แต่ก็มีวาทกรรมเกี่ยวกับ “Angst” ที่แปลว่า ความกังวลปนสงสัยของชาวเยอรมัน ที่กังวล ผู้อพยพจะทำให้ถึงจุดจบของโลก หรือเยอรมนี แต่ในความเป็นจริงแล้วเยอรมนีมีปัญหาอยู่ตลอด มีปัญหาทที่ใหญ่กว่าเรื่องผู้ลี้ภัย เรามีความยากจนของผู้สูงอายุ สังคมสูงวัย การปฏิรูปด้านสังคม ในยุโรปเรามีเรื่องนโยบายต่างประเทศที่ต้องระวัง ขณะที่มีคนเข้าไปที่เยอรมนีไม่ถึง 1 ล้านคนด้วยซ้ำ มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่มากแบบที่สื่อฉายภาพออกมา

ผมว่าปัญหาใหญ่จริงๆ คือ ฝ่ายซ้ายไม่ประสบความสำเร็จในการดีเบตเรื่องผู้อพยพและผู้ลี้ภัย เราตามหลังฝ่ายขวาจัด ที่ทำให้เรื่องมันใหญ่แบบนี้”

ยาคอบ พรูสถือว่าเป็นผู้กำกับภาพยนตร์สารคดีที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งของเยอรมนี โดยภาพยนตร์ของเขามักจะพูดถึงประเด็นทางการเมืองและสังคม เป็นผู้ก่อตั้งโครงการส่งเสริมศิลปินที่ทำเรื่องการเมืองต่างๆ ทำงานร่วมกับองค์กรด้านสื่อและการส่งเสริมประชาธิปไตยในยุโรปตะวันออก อีกทั้งยังเคยร่วมงานกับพรรคกรูเนอ (พรรคกรีน) ของเยอรมันด้วย แต่สิ่งที่พรูสอยากจะฝากถึงผู้กำกับที่อยากเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองก็คือ อย่าทำแผ่นพับข้อความทางการเมืองออกมาเป็นภาพยนตร์

“สิ่งแรกที่ผมอยากบอกก็คือ อย่าทำหนังเพียงเพื่อจะส่งต่อข้อความทางการเมืองเท่านั้น จงเปิดกว้าง แน่นอน คุณต้องมีความคิดของตัวเอง มีจุดยืนของตัวเอง ของผมเป็นหนังที่บอกเล่าเรื่องส่วนตัวมาก ผมแสดงความเห็นลงไปด้วย ผมว่ามันทำได้ แต่เราต้องออกไปทำหนังด้วยใจที่เปิดกว้าง คุณอาจค้นพบบางอย่างที่คุณไม่ชอบ ที่อาจไม่ยืนยันสิ่งที่คุณเชื่อมั่น เช่นการค้นพบว่า พอลเห็นด้วยกับการคุมเข้มไม่ให้ผู้อพยพหน้าใหม่เข้ายุโรป

ผมว่าเรื่องนี้สำคัญมาก ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นภาพยนตร์โฆษณาชวนเชื่อ มุมมองของมนุษย์และความดึงดันเป็นเรื่องสำคัญมาก จงพยายามหาเรื่องที่จะเล่า การเล่าเรื่องมันสำคัญมาก ภาพยนตร์ก็ยังเป็นเรื่องของศิลปะ มันเหมือนวรรณกรรม นวนิยายที่ต้องเล่าเรื่อง แต่อย่าลืมความรู้เรื่องการเมืองของตัวเอง แล้วพยายามหยิบมาใช้ในบริบทที่เหมาะสม แล้วค่อยมาดูกัน อย่าทำแผ่นพับการเมืองมาเป็นหนัง ผมว่าคุณจะไปได้ไกลกว่าการทำหนังแบบนักกิจกรรม ที่ทุกคนรู้มาตั้งแต่ต้นแล้วว่าเรื่องจะเป็นอย่างไร”