ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เสนอ ก่อนส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา เสนอรัฐสภาต่อไป
สาระสำคัญของ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ได้แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 กำหนดให้มีสถานะเป็นกฎหมายกลาง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการที่เป็นข้อมูลข่าวสารสาธารณะ ซึ่งอยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานของรัฐ กำหนดมาตรการคุ้มครองข้อมูลความมั่นคงของรัฐและข้อมูลอันเป็นความลับของราชการ กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลและการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร กำหนดหลักเกณฑ์การส่งมอบ เก็บรักษา และเปิดเผยเอกสารจดหมายเหตุ และกำหนดระยะเวลาการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยจดหมายเหตุแห่งชาติ
ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ และคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้มีความเหมาะสม เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อาทิ
-กำหนดให้หน่วยงานของรัฐเผยแพร่หรือเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาธารณะผ่านระบบดิจิทัล
-กำหนดให้หน่วยงานของรัฐผู้รับผิดชอบจะไม่จัดหาข้อมูลข่าวสารให้ก็ได้ หากปรากฏอย่างชัดแจ้งหรือมีพฤติการณ์ของผู้ยื่นคำขอว่า ผู้นั้นขอข้อมูลเป็นจำนวนมาก หรือบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือมีลักษณะเป็นการก่อกวนการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐ หรือมีผลเป็นการสร้างภาระจนเกินสมควรแก่หน่วยงานของรัฐ หรือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
-กำหนดให้ผู้ใดเห็นว่าหน่วยงานของรัฐไม่ประกาศข้อมูลข่าวสาร หรือไม่จัดข้อมูลข่าวสารไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ หรือไม่จัดหาข้อมูลข่าวสารให้แก่ตน หรือไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมาธิการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า หรือเห็นว่าตนไม่ได้รับความสะดวกโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้มีสิทธิร้องเรียนต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ รวมถึงกรณีที่หน่วยงานของรัฐส่งข้อมูลข่าวสารสาธารณะไปลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแต่ถูกปฏิเสธ
-กำหนดให้ข้อมูลข่าวสารของราชการที่หากเปิดเผยแล้วอาจมีการนำไปใช้ในทางที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และข้อมูลด้านการถวายความปลอดภัยจะเปิดเผยไม่ได้
-กำหนดให้ข้อมูลข่าวสารของราชการที่เป็นข้อมูลความมั่นคงของรัฐด้านการทหารและการป้องกันประเทศ ด้านการข่าวกรอง ด้านการป้องกันและปราบปรามการก่อการร้ายด้านการต่างประเทศที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ด้านการรักษาความปลอดภัยบุคคลและข้อมูลความมั่นคงของรัฐด้านอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีประกาศกำหนด จะเปิดเผยไม่ได้
-กำหนดให้การพิจารณาคดีในศาลในเรื่องที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่ห้ามเปิดเผย ให้ศาลพิจารณาเป็นการลับ และห้ามเปิดเผยเนื้อหาสาระของข้อมูลและวิธีการได้มาซึ่งข้อมูลทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในคำพิพากษาหรือคำสั่ง ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของรัฐ แต่ให้ศาลรับฟังข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้
-กำหนดให้ข้อมูลข่าวสารของราชการที่หากเปิดเผยจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือความมั่นคงในทางเศรษฐกิจหรือการเงินการคลังของประเทศหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีคำสั่งมิให้เปิดเผยก็ได้
-การพิจารณาเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารของราชการที่มีคำสั่งมิให้เปิดเผยในกรณีที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และข้อมูลด้านการถวายความปลอดภัย และในกรณีข้อมูลข่าวสารของราชการที่เป็นข้อมูลความมั่นคงของรัฐด้านการทหาร และการป้องกันประเทศ ด้านการข่าวกรอง ด้านการป้องกันและปราบปรามการก่อการร้าย ด้านการต่างประเทศที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ด้านการรักษาความปลอดภัยบุคคลและข้อมูลความมั่นคงของรัฐด้านอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีประกาศกำหนด จะต้องดำเนินกระบวนการพิจารณาเป็นการลับ ส่วนการพิจารณาที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่มีคำสั่งมิให้เปิดเผยตามมาตรา 15 ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยมิให้ข้อมูลข่าวสารนั้นเปิดเผยแก่บุคคลอื่นใดที่ไม่จำเป็นแก่การพิจารณา
-กำหนดให้ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีคำสั่งไม่ให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารใดตามมาตรา 13/1 มาตรา 13/2 หรือมาตรา 15 หรือมีคำสั่งไม่รับฟังคำคัดค้านของผู้มีประโยชน์ได้เสีย ตามมาตรา 17 ผู้นั้นอาจอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
ด้าน รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะ และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การดำเนินงานของรัฐต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ซึ่งจะทำให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณและการพัฒนาประเทศ