นายฮิโรคิ มิทสึมะตะ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) เปิดเผยว่า การจัดงานเจรจาธุรกิจอาหาร สินค้าเกษตร และประมงจากญี่ปุ่น เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามโครงการส่งเสริมการส่งออกอย่างเป็นองค์รวมของกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น ซึ่งถูกจัดเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน

โดยผู้ประกอบการญี่ปุ่นมีความต้องการที่จะเปิดตลาดใหม่และขยายตลาดการส่งออกสินค้ามายังประเทศไทยมากขึ้น โดยเน้นที่ธุรกิจประมงเป็นหลัก และในปีนี้ได้มีสินค้าที่เกี่ยวกับอาหารเสริมสุขภาพต่างๆ มาเพิ่มด้วย

(นายฮิโรคิ มิทสึมะตะ ประธานเจโทร)

จากผลสำรวจของเจโทรพบว่า จำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยที่มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหาร สินค้าเกษตร ป่าไม้ และประมงนั้นมีอัตราสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในปี 2561 นับเป็นปีแรกที่มีจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยรวมกันมากกว่า 3,000 ร้าน โดยในกรุงเทพฯ มีร้านอาหารญี่ปุ่นถึง 1,718 ร้าน (เพิ่มจากปีก่อนร้อยละ 1.2) และในจังหวัดอื่นๆ มีร้านอาหารญี่ปุ่นถึง 1,286 ร้าน (เพิ่มจากปีก่อนร้อยละ 24.3 )

อีกทั้ง ประเทศไทยยังเป็นประเทศปลายทางการส่งออกสินค้าอาหาร เกษตร ป่าไม้และประมงของญี่ปุ่นเป็นอันดับที่ 7 ของโลก ในปี 2560 มีมูลค่าประมาณ 391 ร้อยล้านเยน หรือ 1.15 หมื่นล้านบาท

แล้วในช่วง 7 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค. 2561) ไทยขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 6 แซงหน้าเวียดนาม และขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ประเทศปลายทางการส่งออกสินค้าของญี่ปุ่นในแถบอาเซียน

ด้วยปริมาณความต้องการวัตถุดิบที่มีสูงขึ้น ซึ่งแปรผันตรงกับจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีมากขึ้นกระจายทั่วประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการจากทางญี่ปุ่น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมประมงเล็งเห็นถึงช่องทางในการขยายตลาดมาไทย

นอกจากนี้ เจโทรมองเห็นศักยภาพในการทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา กัมพูชา ลาว และประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ที่มีความยากลำบากในการนำเข้าสินค้าญี่ปุ่นโดยตรง

ในปี 2559 เจโทร กรุงเทพ ได้มีการจัดทำการส่งสินค้าไปยังต่างประเทศโดยมีประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง สำหรับการแปรรูปวัตถุดิบหลักอย่างปลามากุโระแช่แข็งจากประเทศญี่ปุ่นรวมถึงนำมาแปรรูปเป็นปลาทูน่ากระป๋องที่ประเทศไทยและส่งออกปลากระป๋องที่ผลิตในไทยไปยังประเทศอื่นๆ เช่น ตะวันออกกลางและยุโรป โดยตัวเลขการส่งออกจากไทยไปยังประเทศปลายทางมีมูลค่าสูงถึง 6.4 หมื่นล้านบาท

ส่วนปีนี้ (2561) ผู้ประกอบการญี่ปุ่นในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับอาหารเสริม อาทิ อะโอจิรุ (น้ำผักใบเขียว), น้ำคอลลาเจน, ผงแลคติกแแอซิดแบคที่เรีย, เส้นบุก และสินค้าอื่นๆ อีกมากมายที่เป็นสินค้าเพื่อสุขภาพโดยเฉพาะ และหันมาสนใจตลาดประเทศไทยเพราะไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ซึ่งตลาดยังมีความสามารถในการเติบโตได้อีกมาก