ไม่พบผลการค้นหา
ครูวัย 47 ปี ใน จ.กำแพงเพชร หวังเห็นอนาคตลูกศิษย์ดีขึ้น ค้ำเงินกู้ กยศ.ให้ร่วม 30 ราย แต่นักเรียนเบี้ยวจ่ายหนี้ ยอดพุ่ง 1 ล้านบาท หมายศาลเตรียมยึดบ้านพร้อมโฉนด วอนเห็นใจครูรีบชำระเงินคืน กยศ.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ ‘Tikky CM Peo’ โพสต์ เล่าเรื่องของครูโรงเรียนหนึ่งในกำแพงเพชร ค้ำประกันเงินกู้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)ให้นักเรียนกว่า 60 คน แต่นักเรียนกว่า 30 คนไม่ชำระหนี้ตามข้อตกลง ยอดหนี้รวมกว่าล้านบาท ทำให้ครูถูกยึดบ้านและที่ดิน

 เมื่อเวลา 17.00 น. วันนี้ (24 มิ.ย) น.ส.วิภา บานเย็น อายุ 47 ปี ผู้บริหารโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.กำแพงเพชร นำเอกสารเกี่ยวกับหมายศาลที่ถูกส่งมาถึงที่บ้านพัก พร้อมทั้งเอกสารหมายศาลบังคับคดี จนทำให้เกิดความเดือดร้อน เป็นหมายยึดทรัพย์สิน บ้านและโฉนดที่ดิน 1 แปลง โดยระบุว่า ได้สอบบรรจุข้าราชการครูเมื่อปี2538 จึงเข้ารับราชการครู ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำตำบล ใน จ.กำแพงเพชร ซึ่งเป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา จนเมื่อปี 2541 มีการเปิดกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาเป็นครั้งแรก มีนักเรียนเข้าร่วม กยศ.จำนวนมาก เพราะนักเรียนส่วนใหญ่มีฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี ตนจึงได้ค้ำประกันร่วมกับผู้ค้ำประกันคนอื่นๆ ซึ่งเป็นพ่อแม่ ญาติให้กับเด็กนักเรียน เพราะเป็นครูประจำชั้น และเห็นว่านักเรียนจะได้มีเงินสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการศึกษาเล่าเรียน โดยไม่ได้คิดอะไร คิดเพียงให้เด็กนักเรียนจะได้มีอนาคตในด้านการศึกษา รวมจำนวนนักเรียน 60 คน ๆละ ประมาณหมื่นกว่าบาท กระทั่ง เมื่อต้นปี 2551 มีหมายศาลเกี่ยวกับเรื่องการขาดชำระการกู้ยืมเงินของนักเรียน ว่ามีการเรียกให้นักเรียนผู้กู้ดำเนินการชำระหนี้สินที่กู้มา ซึ่งช่วงนั้นตนเองก็ติดต่อประสานเด็ก ๆ และพ่อแม่ รวมถึงญาติ ๆ ของเด็ก ๆ เพื่อให้ชำระหนี้ กยศ. เพราะมีเอกสารให้นักเรียนสามารถไปดำเนินการผ่อนชำระและไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ 

จากนั้นตนเองก็ได้ย้ายจากโรงเรียนดังกล่าว ไปสอนอีกโรงเรียนในจังหวัดกำแพงเพชร กระทั่งเหลือเด็กนักเรียนจำนวน 30 ราย ที่ยังไม่ดำเนินการชำระหนี้สินแต่อย่างใด จนทำให้มีหมายศาลแจงรายละเอียดหนี้มายังผู้ค้ำประกัน ของเด็กจำนวน 4 ราย ซึ่งมียอดเงินที่ต้องไปชำระรวมจำนวนกว่า 90,000 บาท กระทั่งเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมามีเอกสารไกล่เกลี่ยเงินกู้ของนักเรียนมาอีกครั้งเป็นของนักเรียน 2 รายยอดให้ชำระของรายที่ 1 จำนวน 14,000 บาท และรายที่ 2 จำนวน 24,000 บาท และมีค่าทนายความอีก 4,000 บาท ตนเองจึงจำเป็นต้องจ่ายชำระไปของยอดเงินกู้ของนักเรียน 2 รายแรก  

ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา มีหมายศาลบังคับคดีเร่ง การชำระเงินกู้ 1 ฉบับ ของนักเรียนรายที่ 3 และ วันที่ 17 ก.ค. มีหมายศาลบังคับคดีเร่ง การชำระเงินกู้ มาอีก 1 ฉบับ ซึ่งเป็นของนักเรียนรายที่ 4 แต่ครั้งนี้ เป็นการบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สิน ซึ่งเป็นบ้าน ราคาประเมินกว่า1ล้านบาท และโฉนดที่ดิน 1 แปลง ราคาประเมินประมาณ 6 แสนบาท โดยยึดทรัพย์สินของตนเองเนื่องจากผลการเซ็นค้ำประกันร่วมเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน กยศ. ตนเองจึงได้เดินทางไปติดต่อประสานงานที่สำนักงานกองทุน กยศ. เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อมูล แต่ก็ได้รับการชี้แจงเพียงว่าต้องชำระหนี้เพื่อไม่ให้ถูกยึดทรัพย์สินซึ่งเป็นบ้านและที่ดิน จึงได้ชำระเงินให้กับกองทน กยศ. ของนักเรียนรายที่ 3 และรายที่ 4 ไป เป็นจำนวนเงินกว่า 50,000 บาท รวมจำนวนเงินที่ตนเองชำระไปทั้งหมด 90,000 บาท เพื่อให้พ้นจากการถูกยึดทรัพย์สินดังกล่าว เนื่องจากทรัพย์สินของตนเองมีมูลค่าร่วม 2 ล้านบาท แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่ายังมีผู้กู้อีก 26 ราย ที่ยังไม่ดำเนินการชำระหนี้และจะต้องถูกออกหมายศาลบังคับคดีเช่นกัน 

น.ส.วิภา ระบุว่า หลังจากทำเรื่องที่สำนักงาน กยศ.แล้ว แต่ทางเจ้าหน้าที่ยังแจ้งอีกว่า มีนักเรียนผู้กู้อีก 4 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการเรื่องเอกสาร เพื่อเข้าสู่ขบวนการออกหมายศาลบังคับคดีเช่นกัน และจะดำเนินการส่งเอกสารหมายศาลบังคับคดีภายในปีนี้ จึงทำให้ตนเองเกิดอาการเครียด เพราะตนเองต้องมารับภาระการชำระหนี้เงินกู้ กยศ.รวมจำนวนกว่าล้านบาท โดยตนเองและเพื่อนครู พยายามติดต่อนักเรียนที่ทำเรื่องกู้ยืม ซึ่งปัจจุบันทุกคนต่างมีหน้าที่การงานทำกันแล้ว แต่บางรายก็ยังไม่ดำเนินการนำเงินมาชำระ และหลายรายที่ติดต่อไม่ได้

"วอนขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หาแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น และวอนขอร้องให้นักเรียนที่กู้เงินไป ขอให้เห็นใจครู ขอให้ติดต่อกลับและหาวิธีการชำระหนี้สินที่นักเรียนกู้ไปเพื่อการศึกษา เพื่ออนาคตของนักเรียนเอง แต่ครูซึ่งไม่ได้รับประโยชน์อะไรด้วยเกี่ยวกับเงินกู้เพื่อการศึกษา แต่เซ็นค้ำประกันช่วยนักเรียนเพื่อเห็นว่าจะทำให้นักเรียนได้มีอนาคตทางการศึกษาที่ดี แต่กลับเกิดเหตุการเช่นนี้ขึ้นจึงทำให้ครูเดือดร้อนมาก" ครูวิภา ระบุ