ไม่พบผลการค้นหา
คำถามถึงการปรากฏกายในกายเมืองไทยยามนี้ของสองอา-หลาน ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ สร้างดาวคนละดวง หรือ รักษาผลประโยชน์ร่วมกงสี

----------------------------------------------------------------------------------

อาสุริยะ-หลานธนาธร มีระยะห่างต่อกันมานานแล้ว ในด้านความสัมพันธ์ “เจอกันตามงานตระกูล 1-2 ครั้งต่อปี” ในด้านอิทธิพลทางความคิด “คุณอาสุริยะ มีอิทธิพลน้อยถึงน้อยที่สุดต่อผม” ในด้านจุดยืนทางการเมือง ธนาธรวิจารณ์นักการเมืองสายดูดชัดเจนว่า “เป็นนักการเมืองที่ทรยศต่อจรรยาบรรณวิชาชีพ” ในด้านกงสี ผลประโยชน์ทางธุรกิจ “ทั้งสุริยะ-ธนาธร ไม่มีกงสีใดใดร่วมกัน”

สองวันก่อน “สุริยะ” เปิดสนามกอล์ฟ ไพน์เฮิร์สท รังสิต เปิดใจกับ บรรดา อดีต ส.ส.ที่ยอมถูกดูด ถึงเป้าหมายทางการเมือง "อยากสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไป ผมได้เข้าไปรู้เบื้องลึกที่ท่านจะทำต่อไป และได้สื่อสารผ่านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และคุยกับนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์, นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม รวมถึงแกนนำใหญ่ๆ ของรัฐบาลมาตลอด ทำให้ผมเต็มใจที่จะช่วย พล.อ.ประยุทธ์ ผมไม่ได้ชอบการรัฐประหาร เพราะเคยโดนมาตอนเป็นรัฐมนตรี โดนตราหน้าจากสังคม โดนคดีซีทีเอ็กซ์ 9000 แต่ชี้แจงได้ข้อกล่าวหา จน ป.ป.ช.มีมติตีตก แต่ครั้งนี้ได้เห็นความตั้งใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าตั้งใจแค่ไหน ตอนอยู่พรรคไทยรักไทย ผมทำเพื่อประเทศ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง จึงอยากสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไป เลยคิดจะมาตั้งพรรคพลังประชารัฐ"

 “สุริยะ” มั่นใจว่า จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งในสมัยหน้า เป็นความมั่นใจ โดยใช้ประวัติทางการเมืองของตัวเอง เป็นหลักฐานค้ำยัน ทำนองว่า ถ้าคนชื่อสุริยะ ได้ลงมือดูดเอง นั่นก็แปลว่า ดูดแล้วจะได้เป็นรัฐบาลแน่แท้ “เล่นการเมืองมาพรรคเดียวตลอดชีวิตคือ พรรคไทยรักไทย ตนอยู่พรรคไหนพรรคนั้นสบาย ได้เป็นรัฐบาล อีกทั้งถ้านายสมศักดิ์ได้เป็น ส.ส.เมื่อไร ก็ได้เป็นรัฐบาลทุกครั้ง และจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เพราะพวกเราคิดดีทำดี มาทำการเมืองครั้งนี้หวังมารับใช้ประชาชน ในนามพรรคพลังประชารัฐจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ อีกสมัย เชื่อในความสามารถของท่าน แม้จะเหนื่อยหน่อย แต่เชื่อว่าอย่างไรเราต้องได้กลับมา พรรคพลังประชารัฐจะได้คะแนนเพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาล”

ต่อข้อวิจารณ์ เรื่องการเดินสายดูด “สุริยะ” ตอบคำถามนี้ โดยยกการดูด ในสมัยทักษิณ เป็นตัวอย่าง “กรณีถูกวิจารณ์ว่า เดินสายดูด ส.ส. นั้นว่า เป็นการระดมสมองแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อหาบุคคลที่มีแนวคิดและอุดมการณ์เดียวกันมาร่วมกันทำงาน เพื่อบ้านเพื่อเมืองซึ่งในอดีตสมัยที่ตนเองเป็นเลขาธิการพรรคไทยรักไทยและมีนายทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคก็เคยทำมาแล้ว ไม่ใช่พึ่งจะเกิดขึ้น แต่พอตนเองมาอยู่จุดตรงนี้กลับถูกโจมตี แต่คณะจะไม่หวั่นไหว ขอทำหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมืองต่อไป”

สรุป 3 ประเด็นจาก ปากคำของ “สุริยะ-ผู้ชำนาญเรื่องการดูด”

 (1)เป็นการดูดเพื่อสร้างกองหนุนให้พลเอกประยุทธ์ และระบอบเผด็จการมีชีวิตยืนยาวต่อไปในสังคมไทย

 (2)มั่นใจว่า “พรรคทหาร ที่บัญชาการรบโดยกลุ่มสามมิตร” จะได้คะแนนเพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะยี่ห้อ “สุริยะ-สมศักดิ์” จะไม่เป็นฝ่ายค้านแน่นอน

 (3)การดูดไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ที่พึ่งเกิดเพื่อสร้างกองหนุนให้รัฐบาลเผด็จการ แต่ปฏิบัติการดูดเกิดมานานแล้ว โดยมีทักษิณโมเดลทำสำเร็จมาแล้ว มิพักต้องเสริมต่อว่า ทักษิณทำสำเร็จได้ในวันนั้น ก็เพราะมี “สุริยะ-เลขาธิการพรรคเพื่อไทย” ในฐานะ “นายทุนใหญ่-กระสุนจ่ายที่ทรงประสิทธิภาพทางการเมือง” เป็นผู้ช่วยการดูดให้บรรดาก๊กเล็กก๊กน้อย ต่างยอมสยบต่อ “นายใหญ่”

แล้วจะแปลกใหม่อะไร ในเมื่อ ปฏิบัติการดูดที่เคยเกิดในระบอบประชาธิปไตย จะฉายภาพซ้ำอีกในปี 2018 แม้จะเพื่อสานต่ออำนาจรัฐบาลเผด็จการก็ตาม ? – ต่อคำถามทำนองนี้ ต่อหน้าสื่อ นักการเมืองเจนสนามจะบอกว่า “พวกเราดูดเพื่อประเทศชาติ” แต่หลังฉากการเมือง นักการเมืองเจนสนามจะบอกว่า “พวกเราหวังจะเป็นรัฐบาล เป็นรัฐบาลยาวยาวต่อกันสักสองสมัย นาทีนี้ทักษิณก็ให้เสถียรภาพไม่ได้เท่ากับที่ทหารมอบให้ ...อุดมการณ์ต่างๆ ค่อยว่ากัน!!”

ระยะยาว ถ้าพรรคพลังประชารัฐ ได้จัดตั้งรัฐบาลจริง นายกประยุทธ์เตรียมกุมขมับได้เลย เพราะจะเจอ ปัญหารอบตัว ทั้งปัญหาการทุจริต และข้อเรียกร้อง ประเภท “ตำแหน่งสูงสูง” นับไม่ถ้วนจาก นักการเมืองสายดูด ทั้งจะเจอฝ่ายค้านแบบพร้อมปะทะ ทั้งในสภาและนอกสภา จะครองอำนาจต่อไปยาวนาน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ซุ่มวางแผนไว้

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ คสช. ให้สัมภาษณ์สื่อ ถึง ความพยายามในการสร้างกองหนุนลุงตู่ ที่มีหัวเรือลงแรงเป็น “สามมิตร-สมคิด สุริยะ สมศักดิ์” ว่า "ก็ดีนะ สนับสนุน พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ จะได้ทำงานเพื่อประเทศชาติให้เข้มแข็ง และแข็งแรงมากขึ้น ก็ดูต่อไปก็แล้วกัน” ทั้งยังแสดงความมั่นใจด้วยว่า นายประยุทธ์ จะได้ไปต่อหลังเลือกตั้ง "ผมมั่นใจนะ และผมก็ให้การสนับสนุนอยู่แล้ว"

ดาวคนละดวง หรือ รักษาผลประโยชน์ร่วมกงสี ?

ปากคำ ของ “อาสุริยะ” ที่สะท้อนออกมาในช่วงนี้ เป็นคู่ตรงข้ามทั้งหมดกับสิ่งที่ “หลานธนาธร” กำลังทำอยู่

เหมือนที่ “มติชนสุดสัปดาห์” ให้น้ำหนักกับ “อา-หลาน” คู่นี้ ในฐานะ การปะทะทาง “ความคิด-อุดมการณ์” อย่างเข้มข้น ในระดับ “ต่างคนต่างสร้างดาวคนละดวง ในทางการเมือง”

อย่างไรก็ตาม “ผู้จัดการสุดสัปดาห์” เห็นต่างไปจากนั้น สื่อฝ่ายขวาแห่งนี้เห็นว่า การคัมแบ๊กของสุริยะ เป็นความพยายามในการถ่วงดุล “กงสี-จึงรุ่งเรืองกิจ”

 [รวมๆ แล้ว มูลค่าสินทรัพย์-เงินลงทุนของ “เครือซัมมิท-ไทยซัมมิท” ทั้งของบ้าน “จุฬางกูร-จึงรุ่งเรืองกิจ” เฉพาะที่อยู่เมืองไทย ก็คงอยู่ที่หลักหลายแสนล้านบาท การปล่อยให้ “ทายาท” ไปอวดดีท้าทายเรื่องระบบการเมืองการปกครองบ่อยครั้ง คงไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก จึงกลายเป็นภารกิจของ “โซ้ยตี๋สุริยะ” ที่จำเป็นต้องคืนสังเวียน ถ่วงดุลกงสีของตระกูลนั่นเอง – ผู้จัดการสุดสัปดาห์,25 มิถุนายน 2561]

ย้อนรอยระยะห่าง “อาสุริยะ-หลานธนาธร”

 (1)ต่อคำถาม ว่า ทั้งอาและหลาน เล่นการเมืองเพื่อรักษาผลประโยชน์ “กงสี” – แหล่งข่าวที่รู้ชัดในเรื่องนี้ ตอบคำถามนี้ชัดเจนว่า “ทั้ง สุริยะ-ธนาธร ไม่มีกงสีใดใดร่วมกัน แม้สักนิดเดียว...แม้สักนิดเดียว” ด้วยเหตุนี้ ข้อหาถ่วงดุลกงสี เพื่อรักษาผลประโยชน์ร่วมของตระกูล จึงเป็นอันตกไป

 (2)ต่อคำถามว่า “ธนาธร ได้รับอิทธิพลทางความคิดใดใดจากสุริยะบ้างหรือไม่ ?” – ธนาธร ตอบคำถามนี้ ใน “มติชนสุดสัปดาห์,16 เมษายน 2553” ในประเด็นนี้อย่างชัดเจนว่า [คำตอบที่สวนแบบมาทันควันคือ "โอ๊ย!" absolutely zero เลย ผมไม่เคยได้รับบทเรียนทางการเมืองใดๆ จากคุณอาผม มีการพูดคุยกันบ้าง แต่ปัญหาคือว่า ผมกับคุณอา เจอกันปีละ 2-3 ครั้ง ตามงานเช็งเม้ง ตามงานไหว้อากง ไหว้อาม่า คุยกันปีละ 15-20 นาที เพราะฉะนั้น ผมไม่เคยได้รับความคิดหรืออิทธิพลใดๆ จากคุณอาเลย ตัดไปได้เลย ในแง่ความคิดทางการเมือง ผมคิดว่า คุณอาสุริยะมีอิทธิพลน้อยถึงน้อยที่สุด"]

 (3)ต่อระยะของความสัมพันธ์ระหว่างอาและหลาน – ธนาธรพึ่งอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับอาสุริยะ ไปเมื่อต้นปีนี้ทางเว็บไซต์ 101 ว่า [ผมเคารพคุณอาในแง่ความเป็นผู้ใหญ่ แต่ในแง่ข้อเท็จจริง ผมไม่ได้สนิทกับคุณอาผมเลย ในรอบหลายปีที่ผ่านมา เราเจอกันโดยเฉลี่ยปีละ 1-2 ครั้งตามงานเช็งเม้ง เจอกันเราก็ไม่ได้คุยการเมืองกัน คำตอบนี้ผมตอบได้สบาย มันคือข้อเท็จจริง ตอบกี่ครั้งก็เหมือนเดิม

คุณอาผมหลังๆ เริ่มมีโรคภัยไข้เจ็บและรักษาตัว ไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมือง ส่วนอนาคตผมไม่รู้ เราไม่เคยคุยกันชัดเจนถึงเรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง คุณอาคงพอรู้ว่าผมมีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างไร แต่สุดวิสัยของผมจริงๆ ที่จะทราบถึงจุดยืนทางการเมืองของคุณอา เขาอาวุโสกว่าผมมาก เป็นคนรุ่นพ่อ ไปถามเขาคงจะยากระดับหนึ่ง

ถามว่าจะแยกภาพอย่างนี้ (สลัดภาพหลานสุริยะ) ออกได้อย่างไร วันก่อนผมพูดไปแล้ว และจะพูดซ้ำอีกครั้ง ถ้าคุณใจแคบ ก็ดูผมที่นามสกุล ถ้าคุณใจกว้างพอ ฟังสิ่งที่ผมพูด ถ้าคุณใจกว้างขึ้นอีก ดูสิ่งที่ผมทำ ผมไม่รู้จะพิสูจน์อะไรได้มากกว่านี้ ทำได้ดีที่สุดแค่นี้]

 (4)ต่อจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างกันในระดับดาวคนละดวงของอาและหลาน – ธนาธร ให้สัมภาษณ์ชัดเจนถึงปฏิบัติการดูดเพื่อหนุนการสืบทอดอำนาจเผด็จการว่า  “นักการเมือง ที่ไปรับใช้เผด็จการ คือนักการเมืองที่ทอดทิ้งกับอุดมการณ์ตัวเอง เป็นนักการเมืองที่ทรยศต่อจรรยาบรรณในวิชาชีพของตัวเอง เป็นเรื่องที่ดีที่นักการเมืองประกาศตัวให้ชัดว่าใครยืนอยู่ฝั่งไหน ใครมีจุดยืนในเรื่องนี้อย่างไร”

นักข่าวถาม หนึ่งในนั้นมีคุณอาที่เหมือนกำลังจะย้ายไปอยู่ฝั่งนั้น “ก็มองอย่างที่ผมได้กล่าวไป ที่พูดไป”

เป็นอันชัดว่า ทั้ง อาสุริยะ-หลานธนาธร นั้นอยู่ดาวคนละดวง และกำลังสร้างดาวคนละดวง

วยาส
24Article
0Video
63Blog