พลตำรวจเอกวัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีที่นางสาวสุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. กับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. คือ นายอัครกิตติ์ กีรติธนาไชยยศ , นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ , นายสิญภพ รูปเตี้ย และนางสาววิไลลักษณ์ ศรีสุขใส ถูกอดีตรองประธานหอการค้าอินโดนีเซีย แจ้งความเอาผิดในข้อหาติดสินบนคดีปาล์มอินโดฯ
โดยประธานป.ป.ช. ระบุว่าเมื่อมีการดำเนินคดีคนไทยนอกราชอาณาจักรหรือในอินโดนีเซีย ก็จะส่งผู้ประสานงานกลาง อาจเป็น ป.ป.ช.ของอินโดนีเซีย ส่งมาให้อัยการสูงสุดของไทย ส่วนการมีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ไปกระทำการโดยมิชอบนั้น ยืนยันว่าเป็นเพียงกระแสข่าวที่ข้อมูลอาจคลาดเคลื่อนและไม่เป็นความจริง ซึ่ง ป.ป.ช.มีการท้วงติงผู้ที่ถูกกล่าวหาในคดีและนำเรื่องนี้เข้ามาตรวจสอบแล้ว พบว่าไม่มีมูล แต่หากอินโดนีเซียมีการฟ้องศาลเอาผิดคนไทย ก็ต้องรอดูความชัดเจนในอนาคต ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งข้อมูลเป็นทางการมาผ่านกระบวนการความร่วมมือทางอาญา
ประธาน ป.ป.ช.กล่าวด้วยว่า ในส่วนของ ป.ป.ช.มีการไต่สวนคดีที่ ปตท.เช่าพื้นที่ปลูกปาล์มในประเทศอินโดนีเซีย โดยได้ตั้งคณะกรรมการไต่สวนเต็มคณะและมีนางสาวสุภา กรรม ป.ป.ช.เป็นกรรมการผู้รับผิดชอบคดี จึงมีชื่อติดในกระแสข่าวด้วยเมื่อพูดถึงคดีนี้ ซึ่งขณะนี้คดีมีความคืบหน้าไปเยอะ มีการแจ้งข้อกล่าวหาในบางเรื่องและอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อจะสรุปสำนวนในอีกไม่นานนัก
สำหรับผู้ที่ถูก ป.ป.ช.กล่าวหานั้น มีทั้งอดีตเจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจ บริษัท พีทีที กรีนเอเนอร์ยี โดยต้องขอความร่วมมือระหว่างประเทศในทางอาญาตามกระบวนการ เพราะเหตุเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นผู้ประสานงานกลาง และ ป.ป.ช.ได้ขอความร่วมมือถึงทางอินโดนีเซียในการตรวจสอบพยานหลักฐาน และมีการส่งทีมไปประสานงานหรือสังเกตการณ์เท่านั้น ไม่มีอำนาจในการสอบปากคำใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นอำนาจของทางอินโดนีเซีย
ประธาน ป.ป.ช.ยืนยันว่า เรื่องนี้เป็นคดีสำคัญระหว่างประเทศ ผู้ที่มีหน้าที่และกรรมการที่รับผิดชอบ ตระหนักดีว่าต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพราะหากทำผิดเสียเองจะได้รับโทษเป็น 2 เท่าด้วย จึงไม่อยากให้ประชาชนหรือสังคมหวั่นไหวและไม่ต้องกลัว ทาง ป.ป.ช.ก็ไม่หวั่นไหวเช่นกัน แต่ทำให้ตระหนักรู้ว่า คดีนี้เป็นคดีสำคัญและใกล้ปลายทางเข้ามาบ้างแล้ว