สำนักข่าวเดอะ การ์เดียนรายงานว่า 'คิมรยอนฮุย' หนึ่งในชาวเกาหลีเหนือในเกาหลีใต้เปิดเผยว่า เธอและชาวเกาหลีเหนือจำนวนหนึ่งต้องการกลับประเทศ โดยหวังว่าการพบกันระหว่างนายคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ และนายมุนแจอิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในวันที่ 27 เม.ย.นี้ จะทำให้เป้าหมายเดียวในชีวิตของเธอบรรลุผลได้
การที่คิมรยอนฮุยต้องการกลับประเทศได้ทำให้เธอกลายเป็นวีรสตรีสำหรับเกาหลีเหนือ โดยทางการเกาหลีเหนือพยายามเรียกร้องให้เกาหลีใต้ส่งคิมรยอนฮุยกลับประเทศ ส่วนรัฐบาลเกาหลีใต้ก็ตั้งข้อสงสัยกับคำร้องนี้
ปัจจุบัน ชาวเกาหลีเหนือที่หลบหนีเข้าเกาหลีใต้มีประมาณ 30,000 คน โดยหลายคนหนีออกจากเกาหลีเหนือ เพราะหนีความยากจน ภาวะอดอยาก และการกดขี่ทางการเมือง แต่ชาวเกาหลีเหนือบางส่วนที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมเกาหลีใต้ก็มีจำนวนมาก ทำให้บางคนพยายามหาทางหลบหนีออกจากเกาหลีใต้เพื่อกลับไปยังบ้านเกิดของตัวเอง
คิมรยอนฮุยเล่าว่า ตลอดช่วง 7 ปีที่ผ่านมา เธอพยายามจะทุกทางให้ได้กลับเกาหลีเหนือเพื่อกลับไปหาสามีและลูกสาวในกรุงเปียงยาง ตั้งแต่การลุกขึ้นมาประท้วง เดินทางไปพูดตามงานต่างๆ รวมถึงยื่นฎีกาให้สหประชาชาติว่าเธอติดอยู่ในเกาหลีใต้ และเธอหวังว่านายคิมจองอึนและนายมุนแจอินจะหารือกันเรื่องการนำครอบครัวที่ต้องพรากจากกันมาพบกัน รวมถึงการส่งตัวเธอกลับประเทศด้วย
เมื่อปี 2554 คิมรยอนฮุยเดินทางไปรักษาตัวที่จีน ซึ่งทำให้เธอรู้สึกตกใจมากที่จีนไม่มีสวัสดิการสาธารณสุขฟรี ทำให้เธอต้องเริ่มทำงานหาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล จากนั้นก็มีนายหน้ามาชักชวนให้ไปทำงานที่เกาหลีใต้ เพราะได้เงินมากกว่า และเพียงไม่กี่เดือน จึงค่อยกลับไปเกาหลีเหนือ แต่เมื่อถึงเกาหลีใต้ เธอก็พบว่าเธอจะไม่สามารถกลับไปยังเกาหลีเหนือได้อีกแล้ว
เมื่อชาวเกาหลีเหนือเข้าไปในเกาหลีใต้ พวกเขาจะถูกสอบสวนจากเจ้าหน้าที่สำนักข่าวกรองของเกาหลีใต้ และต้องลงนามในเอกสารว่าจะไม่สนับสนุนเกาหลีเหนืออีกต่อไป และพวกเขาจะได้รับสิทธิพลเมืองเกาหลีใต้โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้การเดินทางกลับไปเป็นเกาหลีเหนือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย หากไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลเกาหลีใต้
คิมรยอนฮุยเล่าว่าเธอเคยยื่นเรื่องขอทำพาสปอร์ตเพื่อที่จะเดินทางไปจีนแล้วกลับเกาหลีเหนือ แต่เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ปฏิเสธไม่ให้ทำ เมื่อพบว่าเธอต้องการเดินทางไปยังเกาหลีเหนือ ทำให้เธอพยายามปลอมแปลงพาสปอร์ต แต่ถูกจับกุมและถูกจำคุก 10 เดือน หลังจากนั้น เธอจึงลุกขึ้นมาประท้วงเรียกร้องให้ทางการเกาหลีใต้ยอมส่งเธอกลับประเทศ
คิมรยอนฮุยระบุว่าแม้ชีวิตในเกาหลีใต้จะมีความสะดวกสบายกว่า แต่ก็ไม่สามารถทดแทน ครอบครัวของเธอที่อยู่ในเกาหลีเหนือได้ และการอยู่ในเกาหลีใต้มา 7 ปีทำให้รู้ว่า การอยู่ในเกาหลีใต้ในฐานะผู้แปรพัตร์ชาวเกาหลีเหนือในเกาหลีใต้คือการเป็นคน แปลกหน้า เป็นเพียงพลเมืองชั้นสองในเกาหลีใต้เท่านั้น เธอจึงไม่ต้องการให้ลูกสาวของเธอย้ายไปอยู่ในเกาหลีใต้
ชีวิตในกรุงเปียงยางค่อนข้างสุขสบาย เธอเป็นช่างตัดเสื้อ สามีของเธอทำงานเป็นแพทย์ทหาร แต่เมื่อมาที่เกาหลีใต้ เธอพบว่า ชาวเกาหลีเหนือในเกาหลีใต้กว่าครึ่งถูกเลือกปฏิบัติทั้งจากนายจ้าง เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนแปลกหน้าบนถนน ซึ่งการเลือกปฏิบัตินี้ทำให้ชาวเกาหลีเหนืออย่างน้อย 7 คนที่เธอรู้จักอยากกลับประเทศบ้านเกิด
นายควอนชอลนัม ชาวเกาหลีเหนือในเกาหลีใต้อีกคนที่ต้องการกลับประเทศ เล่าว่าเขาประสบปัญหาเรื่องการเงินหนักมาก การเลือกปฏิบัติต่อชาวเกาหลีเหนือทำให้เขามักไม่ได้รับเงินค่าจ้าง เขาเคยเรียกตำรวจให้มาไกล่เกลี่ยเรื่องค่าจ้าง แต่สุดท้ายเขาก็ถูกจับกุมเสียเอง แม้เงินจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ในดำรงชีวิต ซึ่งเป็นสาเหตุให้เขาสมัครใจหนีไปที่เกาหลีใต้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตคือการถูกปฏิบัติอย่างเป็นมนุษย์ ซึ่งช่วงที่อยู่ในเกาหลีเหนือ เขาได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพตลอดมา
ที่มา: The Guardian