ไม่พบผลการค้นหา
เกือบสองปีหลังจากที่ถูกจับ กลุ่มเด็กหนุ่ม 14 คนจากหมู่บ้านเดียวกันในนราธิวาสถูกกล่าวหาว่าเป็นสมาชิกกลุ่มบีอาร์เอ็น ซุกซ่อนสารตั้งต้นเพื่อผลิตระเบิดขนขึ้นรถไฟเข้ากรุงเทพฯ จัดประชุมเตรียมก่อเหตุในเมืองหลวงเมื่อปี 2559 ก่อนที่จะถูกจับเสียก่อน

วันนี้ (17 ก.ค. 2561) ที่ศาลอาญากรุงเทพฯ มีการนัดสืบพยานในคดีที่เรียกกันว่า "คดีระเบิดบูดู" ซึ่งเป็นคดีกลุ่มบุคคลวัยระหว่าง 20 ถึง 30 จากสามจังหวัดภาคใต้ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีวางแผนก่อเหตุในกรุงเทพฯและสมุทรปราการ ในการดำเนินคดีวันนี้มีจำเลยขึ้นศาล 14 คน อีก 3 คนเจ้าหน้าที่ยังคงติดตามจับกุมตัวอยู่ เนื่องจากผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่า ซุกซ่อนวัตถุระเบิดในผลไม้และข้าวยำในรถไฟจากนราธิวาสถึงกรุงเทพฯ ทำให้คดีนี้ถูกเรียกว่าเป็นคดีระเบิดบูดู การดำเนินคดีจริงจังเพิ่งเริ่มในปีนี้ และในวันนี้มีพยานโจทก์ให้ปากคำเปิดเผยหลักฐานสำคัญของคดีที่ได้มาจากการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่ทหาร

เจ้าหน้าที่ผู้ให้ปากคำในชั้นศาลคนล่าสุดมาจากกองปราบปรามซึ่งเป็นเจ้าของคดี พ.ต.ต.ดวงมณี พานนาคได้เล่าถึงที่มาของการจับกุมและการตั้งข้อหา โดยระบุว่า คดีนี้เป็นการขยายผลมาจากการที่เจ้าหน้าที่ได้รับคำเตือนให้เตรียมรับมือสถานการณ์ความไม่สงบ เนื่องจากได้ข่าวมาว่าจะมีความพยายามก่อเหตุในกรุงเทพฯ ในช่วงเดือนต.ค. 2559 เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้สนธิกำลังกันปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายในย่านรามคำแหง ส่งผลให้มีการจับกุมตัวบุคคลจำนวน 10 คนในฐานมีกระท่อมในครอบครอง พวกเขาถูกเจ้าหน้าที่ทหารนำตัวไปสอบสวนที่ค่าย มทบ.11 หลังจากนั้นทั้งหมดได้รับการปล่อยตัวไป

แต่ต่อมาสามคนในกลุ่มที่ได้รับการปล่อยตัวแล้วกลับถูกนำตัวไปสอบปากคำที่ค่ายอิงคยุทธบริหารที่ จ. ปัตตานี และที่นั่น จำเลยหนึ่งในนั้นคือนายตาลมีซี โต๊ะตาหยงให้การรับสารภาพว่ากำลังร่วมมือกับคนกลุ่มหนึ่งเพื่อจะก่อเหตุในกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่อ้างว่าเขายอมรับว่าพวกเขามีสารตั้งต้นสำคัญประกอบด้วยปุ๋ยยูเรีย สารจุดชนวนระเบิด และเหล็กเส้น เจ้าหน้าที่ยังระบุอีกว่า ตาลมีซีซึ่งต่อมากลายเป็นจำเลยที่ 1 ในคดีได้ให้การไว้ว่า คนกลุ่มนี้ได้นำสารตั้งต้นเพื่อผลิตระเบิดใส่กล่องแล้วอำพรางด้วยข้าวยำและผลไม้ ขึ้นรถไฟจากสถานีรือเสาะเพื่อจะนำมายังกรุงเทพฯ และเมื่อมาถึงกรุงเทพฯ ก็มีผู้เข้าร่วมอีกหลายคนที่นัดหมายกันไว้แล้วตามไปสมทบที่บ้านแห่งหนึ่งในย่านรามคำแหง จากนั้นเจ้าหน้าที่บรรยายถึงสถานที่อีกแห่งหนึ่งอยู่ในสมุทรปราการซึ่งเป็นที่ที่เจ้าหน้าที่อ้างว่าพวกเขาใช้ประชุมกันเพื่อก่อเหตุ โดยเจ้าหน้าที่เชื่อว่า กลุ่มผู้จะลงมือแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ๆ คือกลุ่มที่มาจากอำเภอศรีสาคร กลุ่มจากอำเภอระแงะ และกลุ่มจากอำเภอรือเสาะ เป้าหมายการวางแผนของพวกเขามีทั้งในสมุทรปราการและกรุงเทพฯ แต่พวกเขาถูกจับได้เสียก่อนหลังจากที่ประชุมกันเสร็จและกินน้ำกระท่อม เจ้าหน้าที่อ้างว่าจากการให้การของจำเลยที่ 1 ต่อเจ้าหน้าที่ทหารในเวลานั้นบอกว่า เขากระทำการภายใต้การสั่งการของจำเลยอีกรายในคดีชื่ออุสมาน เจ๊ะเงาะ ซึ่งยังหลบหนีการจับกุมอยู่

อย่างไรก็ตาม พยานหลักฐานในส่วนของวัตถุที่จะประกอบระเบิดนั้น เจ้าหน้าที่ระบุว่า ผู้ต้องหาได้กำจัดไปก่อนแล้ว หลังจากที่ถูกจับในระลอกแรก โดยในชั้นต้นได้ให้การว่านำไปทิ้งที่คลองข้างบ้าน แต่ต่อมาให้การกับเจ้าหน้าที่ใหม่ว่า ได้นำไปทิ้งในถังขยะหน้าห้องพัก หลักฐานในส่วนของวัตถุพยานในส่วนนี้จึงไม่มี เจ้าหน้าที่ได้ตรวจหาร่องรอยทั้งในบ้านเช่าและบ้านที่ใช้ประชุมกันไม่่ว่าจะที่กรุงเทพฯหรือสมุทรปราการ

เจ้าหน้าที่ระบุว่า ในระหว่างที่ให้การอยู่ในค่ายทหาร เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบหาสารเคมีองค์ประกอบระเบิดกับจำเลยคนสำคัญคือนายตาลมีซี และพบว่ามีเขม่าของสารพีอีทีเอ็น Pentaerythritol tetranitrate อันเป็นองค์ประกอบสำคัญของการทำวัตถุระเบิดติดที่มือ หลักฐานดังกล่าวนับเป็นหลักฐานอันสำคัญที่เจ้าหน้าที่มีอยู่

หลังจากที่มีการจับกุมสามคนแรก เจ้าหน้าที่ได้ขยายผลดำเนินการขอออกหมายจับและจับกุมเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่เชื่อว่าในบรรดาผู้ถูกฟ้อง 17 คน แบ่งงานกันออกเป็นกลุ่มที่สั่งการ กลุ่มลงมือ และกลุ่มที่เป็นช่างดำเนินการในทางเทคนิค โดยเชื่อว่าสามคนที่ยังจับกุมตัวไม่ได้ซึ่งมีนายอุสมาน เจ๊ะเงาะรวมอยู่ด้วยนั้น เป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่สั่งการ

เจ้าหน้าที่ได้อาศัยองค์ความรู้ในเรื่องกลุ่มก่อเหตุภาคใต้ของเจ้าหน้าที่ทหารจากศูนย์สันติวิธีในยะลาประกอบการพิจารณาและสรุปว่าคดีมีมูลและเสนอให้สั่งฟ้อง เจ้าหน้าที่ให้การว่า เชื่อว่ากลุ่มผู้ต้องหาเป็นผู้ที่ได้ผ่านการฝึกอบรมตามกระบวนการของกลุ่มบีอาร์เอ็นมาแล้ว พวกเขาได้ผ่านการทำซุมเปาะห์หรือสาบานตน ฝึกฝนร่างกายเพื่อให้แข็งแรงมาแล้วด้วย โดยเจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาคนทั้งกลุ่มว่ามีการกระทำที่เป็นอั้งยี่ซ่องโจร และหนึ่งในนั้นมีวัตถุระเบิดอยู่ในครอบครอง

อย่างไรก็ตาม บุคคลทั้งหมดให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ยกเว้นหนึ่งในนั้นที่ให้การกับเจ้าหน้าที่ว่าต้องเข้าร่วมเพราะถูกข่มขู่

ในการพิจารณาคดีปรากฎว่ามีญาติของจำเลยจากสามจังหวัดภาคใต้ได้เดินทางไปให้กำลังใจและร่วมรับฟังการให้ปากคำในชั้นศาลตลอดเวลา พวกเขาระบุว่าในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาได้เดินทางมาเยี่ยมญาติที่ถูกจับกุมมาโดยตลอด สำหรับนัดหมายสืบพยานโจทก์และจำเลยครั้งต่อไปคือ 31 ก.ค.

สำหรับกลุ่มผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ล้วนมาจากอำเภอศรีสาคร นราธิวาส จากข้อมูลของมูลนิธิผสานวัฒนธรรมซึ่งติดตามคดีดังกล่าวระบุว่า พวกเขามาจากหมู่บ้านเดียวกัน ส่วนใหญ่เป็นเยาวชนที่ต้องการหางานทำเพราะปัญหาราคายางที่ตกต่ำและขาดงานทำให้ต้องแสวงหารายได้ด้วยการเดินทางไปทำงานรับจ้างในกรุงเทพฯ


อ่านเพิ่มเติม คดีน้ำบูดู

ไม่บึมแต่หรอยจังฮู้! EOD ค้นบ้านเป้าหมายย่านบางเสาธง เจอแต่น้ำบูดู