ชาวจีนจำนวนหนึ่งที่ไม่พอใจการเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เสนอให้มีการขยายวาระการดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ ซึ่งคาดว่าจะทำให้สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ครองตำแหน่งประธานาธิบดีจนถึงปี 2030 ก็ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียของจีน ซึ่งก็มีทั้งการเปรียบเทียบกับผู้นำเกาหลีเหนือและผู้นำเผด็จการคนอื่นๆ ทำให้หน่วยงานที่ดูแลความมั่นคงทางไซเบอร์ของจีนต้องตามลบความคิดเห็นและข้อความที่ไม่เห็นด้วยออกจากระบบทั้งหมด
รัฐบาลจีนยังได้ออกมาตรการสั่งแบนข้อความต่างๆในโลกออนไลน์อีกด้วย โดยเฉพาะใน 'ซีน่าเหว่ยโป๋ว' เว็บไซต์สื่อสังคมออนไลน์ ในรูปแบบไมโครบล็อกแบบเดียวกันกับทวิตเตอร์และมีความนิยมสูงเหมือนเฟซบุ๊ก โดยมีการสั่งแบนคำว่า ไม่เห็นด้วย การอพยพ การย้ายออกจากประเทศ การได้รับเลือกตั้งอีกรอบ วาระดำรงตำแหน่ง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ การอ้างตัวเป็นจักพรรดิ และคำว่า 'วินนี เดอะ พูห์'
การกำหนดให้ประธานาธิบดีจีนสามารถดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 วาระหรือ 10 ปีนั้นเริ่มขึ้นในศตวรรษ 1900 เพื่อขจัดปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์จีนโดยเฉพาะในสมัยของนายเหมาเจ๋อตุง อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาตั้งแต่การขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนเมื่อปี 2012 ของนายสีจิ้นผิง นักวิเคราะห์มองว่าเขาพยายามที่จะสร้างกฎเกณฑ์ต่างๆขึ้นมาเองและพยายามที่จะปูทางไปสู่การเป็นจักรพรรดิมาโดยตลอด ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงนักวิเคราะห์ชี้ว่าอำนาจของนายสีจะพาจีนกลับไปยังยุคสมัยเมื่อ 100 ปีก่อนอีกครั้ง
ปัจจุบันรัฐบาลจีนจ้างพนักงานจำนวนหลายล้านคนเพื่อทำงานให้กับกองเซ็นเซอร์ของทางการจีน คอยตรวจตราการใช้อินเทอร์เน็ตของประชาชนอย่างใกล้ชิด ซึ่งหนึ่งในคำที่ถูกเซ็นเซอร์ในมาตรการครั้งล่างสุดนี้อย่างคำว่า 'การย้ายออกจากประเทศ' หรือ 'Emigration' ถูกค้นหาอย่างมากมายในเว็บไซต์ไป่ตู้ ทันทีหลังมีกระแสข่าวเรื่องการขยายเวลาครองอำนาจของนายสีแบบไม่มีกำหนด
ส่วนคำว่า 'วินนี เดอะ พูห์' ที่ถูกเซ็นเซอร์เช่นกันมีสาเหตุมาจากเป็นคำที่ชาวโซเชียลมีเดียใช้เรียกนายสีจิ้นผิงบนโลกออนไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเรียกในเชิงการล้อเลียนและเย้ยหยัน ซึ่งหากว่าเราค้นหาคำว่า 'วินนี เดอะ พูห์' ในเว็บไซต์ 'ซีน่าเหว่ยโป๋ว' ก็จะปรากฎข้อความขึ้นมาทันทีว่า 'ทางเว็บไซต์ไม่สามารถปรากฎคำที่ท่านค้นหาได้เนื่องจากขัดต่อกฎหมาย กฎการใช้อินเทอร์เน็ต และนโยบายของรัฐบาลจีน'
