เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (23 มกราคม) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามในประกาศเพิ่มภาษีอุปกรณ์โซลาร์เซลล์และเครื่องซักผ้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยระบุว่าเพื่อปกป้องภาคอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ จากสินค้าที่ตั้งราคาต่ำกว่ามูลค่าตลาด และทรัมป์ยืนยันว่า การเรียกเก็บภาษีเครื่องซักผ้าและโซลาร์เซลล์เพิ่มขึ้นนี้จะปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคในสหรัฐฯ รวมถึงสร้างงานให้แก่คนอเมริกันเพิ่มขึ้นด้วย
อัตราภาษีใหม่นี้จะเรียกเก็บเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 สำหรับการนำเข้าเครื่องซักผ้า 1.2 ล้านเครื่องในปีแรก และจำนวนที่เกินกว่านั้นจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 และจัดเก็บอัตรการจัดเก็บภาษีลงเหลือร้อยละ16 และร้อยละ 40 ในปีที่สาม
ขณะที่ภาษีนำเข้าโซลาร์เซลล์จะเก็บเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 ในปีแรก และจะลดลงเป็นร้อยละ 15 ในปีที่สี่
การเก็บอัตราภาษีนำเข้าเครื่องซักผ้าและแผงโซลาร์เซลล์เพิ่มขึ้นของรัฐบาลทรัมป์ มีจุดหมายเพื่อลดการนำเข้าสินค้าประเภทดังกล่าวจากเกาหลีใต้และจีน ซึ่งถือเป็นผู้นำเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีราคาถูกในตลาดของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน และคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ได้เสนอการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้า หลังจากบริษัท Whirlpool ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องซักผ้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ กล่าวหาว่าซัมซุงและแอลจีขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าตลาด
นายเจฟ เฟตทิก ผู้บริหารของบริษัท Whirlpool กล่าวว่า มาตรการนี้จะเป็นชัยชนะของคนงานชาวอเมริกันและผู้บริโภค เพราะจะเพิ่มการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมในรัฐโอไฮโอ เคนตักกี เซาท์แคโรไลนา และเทนเนสซี และทางบริษัทได้เพิ่มตำแหน่งงานกว่า 200 ตำแหน่งในโรงงานที่เมืองไคลด์ มลรัฐโอไฮโอ เพื่อรองรับการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นจากมาตรการกำแพงภาษีตัวใหม่นี้
ขณะเดียวกัน ทางผู้ผลิตเครื่องซักผ้ารายใหญ่อย่างซัมซุงและแอลจี ต่างแสดงความผิดหวังกับนโยบายของทรัมป์ โดยทางซัมซุงได้แถลงในเว็บไซต์ว่า นโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์จะทำให้ราคาเครื่องซักผ้าสูงขึ้นและผู้บริโภคในสหรัฐฯ จะต้องจ่ายเงินมากขึ้น ขณะที่ทางแอลจีเห็นว่า นโยบายของทรัมป์จะนำไปสู่การขัดขวางการตั้งโรงงานใหม่ และเป็นการคุกคามต่องานในภาคอุตสาหกรรมขอสหรัฐฯ
ด้านบริจิตต์ ไซพรีสต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและพลังงานของเยอรมนี เป็นอีกผู้หนึ่งที่วิพากษ์วิจารณ์การขึ้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์โซลาร์เซลล์และเครื่องซักผ้าของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในระหว่างที่เธอเข้าร่วมการประชุมเศรษฐกิจโลก (WEF) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยเธอระบุว่านโยบายกีดกันการค้าของทรัมป์จะส่งผลให้สหรัฐฯ ขัดแย้งกับจีนและเกาหลีใต้ และการกระทบกระทั่งกับ 2 ประเทศ ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ในหมวดดังกล่าว ย่อมจะส่งผลกระทบทางการค้าแก่ประเทศอื่นๆ เช่นกัน ทั้งยังเป็นนโยบายที่ขัดต่อข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศด้วย
อ้างอิงจาก washingtonpost bloomberg และ straitstimes