ไม่พบผลการค้นหา
นักวิเคราะห์ประจำภูมิภาคชี้สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนจะทำให้เงินทุนไหลเข้าอาเซียนเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว มูลค่ากว่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่นักวิชาการจีนชี้ ทุนไทยต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในการแข่งขัน

ดร.ชัยพัฒน์ พูนพัฒน์พิบูลย์ นักเศรษฐศาสตร์ประจำศูนย์วิจัยเศรฐศาสตร์มหภาคอาเซียน+3 กล่าวว่า แม้ว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะทำให้ภาคการส่งออกและการผลิตชะงักในระยะสั้น แต่ในระยะยาวผลพวงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนนี้จะช่วยเพิ่มการลงทุนระหว่างจีนและอาเซียนให้เพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ รายงานของศูนย์วิจัยฯระบุว่า ในปี 2018 มูลค่าการลงทุนของจีนในอาเซียนมีมูลค่าประมาณ 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบประมาณ 5 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการประเมินว่าในปี 2035 จีนจะเข้ามาครองส่วนแบ่งตลาดอาเซียนสูงถึงร้อยละ 22 จากร้อยละ 17 ในปีนี้ และมูลค่าการค้าของอาเซียนที่เข้าไปในจีนจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 18 จากร้อยละ 11 ในปี 2018

ที่ผ่านมาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทำให้หลายประเทศย้ายฐานการผลิตออกจากจีนอย่าง เช่น บริษัทแอลจีและซัมซุงของเกาหลีใต้ที่ย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังเวียดนาม เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการส่งออกที่เกิดขึ้นกับจีนเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

ขณะที่ทางจีนกล่าวว่า อาเซียนเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับการลงทุนของจีน ซึ่งล่าสุดในปีนี้มีบริษัทจีนกว่า 4,000 บริษัทที่เข้ามาดำเนินกิจการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 300,000 ตำแหน่ง

ดร.หลี่ เหรินเหลียง ผู้อำนวยการหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการพัฒนาสังคม ภาคพิเศษ กรุงเทพฯ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวในงานสัมมนา One Belt One Road กับการเดินหน้าของกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย (CLMVT) โดยระบุว่า ผู้ประกอบการไทยต้องรับมือกับการหลั่งไหลเข้ามาของทุนจีน 2 ส่วน คือ

1.เรื่องการค้าและการลงทุน เนื่องจากทุนจีนเข้ามาพร้อมๆ กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เน้นการผลิตสมัยใหม่ขึ้นสูง เจ้าของธุรกิจของไทยต้องมีการปรับตัว เพื่อให้เท่าทันเทคโนโลยีจากจีน ที่ผ่านมาธุรกิจไทยเป็นธุรกิจในแบบครัวเรือน แทบไม่มีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาเพื่ออำนวยความสะดวกในภาคธุรกิจ

2. ช่องทางและวิธีการค้าการขาย ดร.หลี่กล่าวว่า ปัจจุบันช่องทางอีคอมเมิร์ซกลายเป็นช่องทางที่สำคัญของจีนในการซื้อขายสินค้า โดยเฉพาะการซื้อของกลุ่มผู้บริโภคชนชั้นกลางในจีนที่จะซื้อของผ่านช่องทางดังกล่าวมาที่สุด ดังนั้นผู้ประกอบการไทยต้องมีการศึกษาเรียนรู้เพื่อให้เข้าถึงช่องทางอีคอมเมิร์ซของจีนมากขึ้น และต้องศึกษาตลาดและผู้บริโภคของจีนให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

นางหยางหยาง ที่ปรึกษาด้านการเมืองและสารสนเทศ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย กล่าวว่าไทยเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญของจีน เนื่องจากมีภูมิศาสตร์ที่เป็นจุดเด่นในการเชื่อมต่อการคมนาคมขนส่งทั้งทางบกและทางทะเลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในอนุภูมิภาค CLMVTที่จีนถือว่าเป็นคู่ค้าหลักของจีนเช่นกัน ที่ผ่านมาการค้าและการลงทุนของจีนในกลุ่ม CLMVT นี้เติบโตเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 70 โดยมีมูลค่าการค้าในปัจจุบันสูงถึง 2.2 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ

ที่มา SCMP

ข่าวที่เกี่ยวข้อง