ไม่พบผลการค้นหา
'พิจารณ์' แฉโรงเรียนเตรียมทหาร ห้ามคนหนุน LGBT-ติ่งพรรคก้าวไกลเข้าเรียน เน้นเอาเฉพาะคนอวยรัฐบาล  เปิดงบฯ 'ทบ.-ทอ.' เปลี่ยนแปลงโครงการ - จัดซื้อสูง

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 2 ก.ย. 2564 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติขอเปิออภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปิดเผยการสอบสัมภาษณ์เข้าโรงเรียนเตรียมทหาร ปี 2564 โดยระบุ มีบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ เป็นประธานการในการกำหนดแนวทางการสอบ แทนที่จะเป็นผู้บัญชาการตำรวจ

พิจารณ์ ก้าวไกล สภา -31DA-4179-9BC3-40958C3E83CD.jpeg

พิจารณ์ เปิดเผยว่า ในส่วนของการตั้งคำถามนั้น มีทั้งเรื่องเกี่ยวกับการจงรักภักดีต่อสถาบันฯ ความเห็นเกี่ยวกับการชุมนุม การเมือง การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากนี้ยังมีความพยายามคัดผู้สมัครที่มีความหลากหลายทางเพศ(LGBT) ออกไป รวมถึงผู้สมัครที่มีทัศนคติดีต่อกลุ่ม LGBTก็จะถูกคัดออกไป ที่สำคัญคนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกล ยังจะถูกคัดออกด้วย

เขา ได้เปิดคลิป อ้างว่าเป็นเสียงพลตำรวจท่านหนึ่ง มอบนโยบายการสัมภาษณ์นักเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร โดยในคลิประบุตอนหนึ่งว่า “ถ้าคนสนใจจริงมันคือการเลือกข้าง ไอ้เหี้ยส้มนี่ยกตัวอย่าง คือเราล็อกแล้ว สีแดงคือเราจะไม่เอา แต่เราต้องมีเครื่องมือวิธีการเป็นวิทยาศาสตร์ ทำให้ดี ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ จะได้ของดีเข้ามา”

อีกคลิป เป็นคำถามเกี่ยวกับทัศนะทางการเมือง ระบุว่า “ตอนนี้เป็นยุคใหม่ เป็นภัยคุกคามคือเยาวชนรุ่นๆทั้งหมด วุฒิภาวะไม่ได้ อารมณ์รุนแรง รู้น้อยหรือรู้มาก ไปเรียนกฎหมายนิดนึง และออกมาแสดงท่าทีคุกคามเจ้าหน้าที่"

อีกคลิปเป็นทัศนะคติเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ ระบุว่า "ถ้าตำรวจทหารเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วอยู่ในเครื่องแบบ เราคิดว่ายังไง วันหนึ่งลูกเราเป็นเพศที่สามขึ้นมา เราจะทำอย่างไรกับลูกเรา"

ประยุทธ์ สภา อภิปรายไม่ไว้วางใจ DF027E7B-ACC4-4E33-9800-DF3AB518B8A4.jpeg

พิจารณ์ ยังเปิดเผยเอกสารชุดคำถามในการสัมภาษณ์ 18 ข้อ โดยมีคำถาม เช่น ถ้าอยู่ร่วมหรือทำงานกับคนที่ชอบเพศเดียวกันคิดว่าคมกลุ่มนี้จะต้องรับการรักษาหรือไว้ , คิดยังไงกับการจดทะเบียนสมรสของคนที่ชอบเพศเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีคำถามว่าคิดอย่างไรกับการปฏิวัติรัฐประหารด้วย

พิจารณ์ กล่าวว่า โรงเรียนเตรียมทหาร พยายามตัดผู้ที่มีความเห็นต่างรัฐบาลออก รวมไปถึงคนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลด้วย ซึ่งเหตุผลทั้งปวง เพราะอยากให้มีนักเรียนเตรียมทหารที่สนับสนุนรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ มาสยบยอมต่อระบบปรสิตที่กัดกินประเทศนี้เป็นการเอางบประมาณแผ่นดินไปบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง

นอกจากนี้ พิจารณ์ ยังอภิปรายการจัดซื้อจัดจ้างของกองทัพ ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ใช้อำนาจที่เข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายหลายฉบับ โดยในโครงการจัดซื้อเครื่องบิน GulfstreamG500 มูลค่า 1,350 ล้านบาท ถูกปรับเปลี่ยนไปเป็นโครงการจัดหาเครื่องบินลำเลียง มูลค่ 1,250 ล้านบาท มีส่วนต่าง 100 ล้านบาทและไม่ทราบว่าเงินเข้ากระเป๋าใคร, โครงการจัดซื้อรถยนต์บรรทุก ขนาด 2.5 ตัน จำนวน 169 คัน มูลค่า 921 ล้านบาท ถูกปรับให้เป็นการซ่อมบำรุงรถยนต์อายุ 40-50 ปี กว่า 400 คัน มูลค่า 518 ล้านบาท ซึ่งตนมองว่าไม่คุ้มค่า เนื่องจากการซ่อมรถยนต์เก่าซึ่งใช้มาตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม ต้องย้ายฝั่งของพวงมาลัย, ทำห้องโดยสารใหม่ และติดแอร์

ผมเชื่อว่าเหตุผลที่กองทัพต้องการซ่อมเอง เพราะได้ส่วนต่างราคาเครื่องยนต์ M35 ที่คันละ 4 แสนบาท รวม 100 ล้านบาท อย่างไรก็ดีตอนเปลี่ยนโครงการกองทัพชี้แจงถึงการเปลี่ยนโครงการอ้างว่าสถานการณ์โควิด-19 และประเทศเกาหลีเตรียมเลิกผลิตรถ KM250 ในปี 2567 แต่จากการสอบถามผู้เกี่ยวข้องจากประเทศเกาหลียืนยันว่าไม่มีการยกเลิกผลิต เท่ากับกองทัพตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จและอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” พิจารณ์ อภิปราย

พิจารณ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับค่าซ่อม Unimog นั้นพบว่าเดิมซื้อจากบริษัททาทา มอร์เตอร์ ประเทศอินเดีย มีราคาขายต่อคันอยู่ที่คันละ 2 ล้านบาท แต่มีค่าซ่อม 2 ล้านบาท ทั้งที่อย่างไรก็ดีตนตรวจสอบทีโออาร์พบว่ามีการเอื้อประโยชน์ เนื่องจากมีเงื่อนไขคือ บริษัทที่จะเข้ารับงานต้องถูกเชิญ และ ได้รับการแต่งตั้งให้จำหน่ายชิ้นส่วนรถยนต์สงครามชนิดช่วยรบ ตระกูลเมอร์ซิเดสเบนซ์ ให้ราชการได้

การโอนเปลี่ยนแปลง Unimog ผิดระเบียบของราชการและนโยบายท่ีกำหนดค่าซ่อมไม่เกิน 65% ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งโครงการรถบรรทุกนั้น ผิดกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ผิดระเบียบกองทัพโกหกทำให้ชาติเสื่อมเสียชื่อเสียง” พิจารณ์​ อภิปราย

พิจารณ์​ อภิปรายด้วยว่า สำหรับกองทัพอากาศพบโครงการที่ไม่โปร่งใสคือการจัดหาเครื่องบินฝึกนักบินขับไล่ขั้นต้น T-50TH จากประเทศเกาหลี 4 ที่ดำเนินต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2558 - 2567 โดยพบว่าราคาซื้อนั้นแพงขึ้นต่อเนื่อง รวม 23% รวมเป็นมูลค่ากว่า 1,315 ล้านบาท โดยระยะแรกจัดซื้อ 4 ลำ มูลค่า  25.88 ล้านดอลลาห์สหรัฐต่อลำ, ระยะสอง ซื้อ 8 ลำ มูลค่า 29.54 ล้านดอลลาห์ ต่อลำ ถือว่าแพง 14% โดยระยะสองนั้น จัดซื้อในสมัยที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งเป็น รมว.กลาโหม และครั้งล่าสุด ลงนามเมื่อ 30 ส.ค. จัดซื้อ 2 ลำ ราคาต่อลำ คือ 31.81 ล้านดอลลาห์สหกรัฐ ถือว่า แพงขึ้น 8%